วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทดสอบของเชิญครูกับล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง ....โดยครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย จ.แพร่

จากประสบการณ์จริงของ ทิพยจักร

ผู้ที่จะเข้ารับการสักวิชายาแดงนั้น ก่อนเริ่มพิธีสักยาแดง ครูบาอาจารย์จะมีพิธีกรรมหนึ่งเป็นการทดสอบว่าคนผู้นั้นมีพลังงานแฝงอะไรอยู่หรือไม่ ถ้ามีต้องเชิญต้องถอนออกก่อนจึงสักยาแดงให้ได้

พิธีกรรมนี้จะให้ผู้เข้ารักการสัก นั่งเหยียดขาออกไปข้างหน้า ครูผู้ทำพิธีจะท่องคาถาแล้วถามว่ามีผีเจ้าเข้าสิงแฝงหรือไม่มีวิญญาณสัมภเวสีผีตายโหงอะไรแฝงหรือเปล่า มีเจ้ามีองค์อันใดแฝงในกายหรือไม่ ท่านจะทำพิธี โดยจะสั่งว่า ถ้ามีให้ยกขาไม่ขึ้น ถ้าไม่มีก็ให้ยกขาได้ตามปกติ ท่านจะสั่งพร้อมท่องบริกรรมคาถา ถ้าผู้ที่รับการสักมีอาการยกขาไม่ขึ้นก็แสดงว่ามีเทพมีเจ้ากรรมนายเวรแอบแฝงอยู่ต้องทำการถอนเพื่อขออนุญาติจึงทำการสักได้ การถอนนั้นก็คือเชิญพลังงานแฝงทั้งหลายทั้งปวงออกจากตัวไปก่อน ถ้าวิญญาณไม่ดีเป็นผีเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็เชิญออกไปเลยอย่างถาวร ถ้าเป็นเทพเป็นครูก็เชิญออกไปก่อนหลังจากรับการสักยาแดงเสร็จท่านก็ค่อยมาคุ้มครองได้



ครูบาชัยมงคลทดสอบวิชาให้ดูเป็นขวัญตา

          การทดสอบก่อนการสักว่ามีอะไรแอบแฝงนี้ยังเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถนำมาพลิกแพลงได้โดยพิสดารอีกด้วย อย่างท่านครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย จ.แพร่ เวลาท่านจะให้จะประสิทธิวิชาของขลังในสายปะฐะมะสิทธิอันมีครูพู่พู่อ่องและโพมินข่องเป็นบรมครูนั้นท่านก็ใช้วิชาในลักษณะเดียวกันนี้ โดยผู้จะรับของให้นั่งแล้วเหยียดขาไปข้างหน้า จากนั้นท่านจะทดสอบว่าครูอยากไปอยู่กับคนผู้นั้นหรือไม่ พอใจคนผู้นั้นหรือเปล่า โดยกล่าวคาถาเชิญครูแล้วให้องค์ครูที่เป็นพลังงานอันมองไม่เห็นนั้นกดทับขาไว้ หรือแฝงลงในร่างเพียงบางส่วนซึ่งไม่ทำให้หมดสติเหมือนการถูกประทับทรง ผู้ที่ถูกทดสอบจะมีสติสัมปะชัญยะสมบูรณ์ทุกประการแต่จะไม่สามารถควบคุมร่างกายบางส่วนได้ โดยครูบาท่านจะขอเชิญครูให้กดขาไว้  แล้วอธิฐานบอกกล่าวครูว่า ถ้าท่านพอใจให้กดขาคนผู้นี้ไว้ ถ้าไม่พอใจให้ปล่อยเขา จากนั้นให้ลองยกขาดู ถ้ายกไม่ได้แสดงว่าครูท่านพอใจจึงมาเล่นด้วยหรือมาประทับลงในสังขาร ถ้าครูลงมาแบบนี้ก็สามารถเชิญวัตถุมงคลกลับไปบ้านได้และเชื่อมั่นได้เลยว่าครูมาอยู่มาคุ้มครองมาอวยพรให้กับเราแน่นอน แต่ถ้าอธิษฐานดูแล้วก็สามารถยกขาได้ตามปกติ ไม่มีอะไรแสดงว่าครูท่านไม่อยากมา แบบนี้ก็ไม่ควรเอาของไป เพราะครูท่านไม่ต้องการ

             ผู้เขียนเองสังเกตการทำพิธีกรรมนี้อยู่ระยะหนึ่ง เชื่อมั่นว่าครูบาชัยมงคลท่านเชิญครูได้แน่นอน แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเราเองจะสื่อกับครู เพราะปกติแล้วเป็นคนที่ไม่รู้สึกหรือน้อมใจไปในอะไรง่ายๆ และเหมือนว่าครูบาชัยมงคลท่านจะรู้ใจ ท่านหันมาคุยกับผมพร้อมกับบอกว่าเอ้าไหนลองมานั่งดู จะให้พระไปบูชาที่บ้านองค์นึง ลองดูนะว่าครูท่านอยากไปด้วยรึเปล่า
ทีแรกคิดกลัวว่าครูบาท่านจะเหนื่อยเปล่าอย่างไรเสียเราก็คงยกขาขึ้นแน่ๆ ด้วยความเกรงใจก็นั่งเหยียดขาให้ครูบาท่านลองประกอบพิธีของท่านดู ท่านท่องพระคาถาสักพักเดียวไม่เกินสามนาที รู้สึกได้เลยว่ามีเหมือนมวลอากาศหนักๆมากดที่ขาของเราตั้งแต่ต้นขาไปถึงปลาย แต่ในใจก็คิดว่ายังไงเราก็น่าจะยกขาได้อยู่ดี

                  พอครูบาชัยมงคลท่านอธิษฐานบอกกล่าวกับครูบาอาจารย์เสร็จเรียบร้อย ซึ่งมีเนื้อความว่าถ้าครูบาอาจารย์ชอบสังขารนี้อยากอยู่ด้วย ให้กดขา ให้ลงประทับที่ขา ให้ขายกไม่ขึ้น ท่านกล่าวประมาณนี้ จากนั้นท่านก็บอกให้เราลองยกขาดู ปรากฏว่ามันแปลกจริงๆที่เราพยายามจะยกขาให้ขึ้นแต่มันกลับไม่ขึ้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าท่านสามารถทำได้ ผมเองผู้ทดลองกับตัวก็แปลกใจไม่น้อยสติเราก็ดีทุกอย่าง กำลังเราก็ดี แต่เมื่อลองยกขามันกลับยกไม่ขึ้น คล้ายๆว่ามันไม่ใช่ขาของเรา หรือเหมือนมีอะไรมากดไว้ เป็นเรื่องที่บอกไม่ถูกจริงๆ

การทดสอบครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สร้างความแปลกใจให้ผู้เขียนมิใช่น้อยในวิชาอาคมของครูบาชัยมงคลท่าน แต่ไม่เพียงเท่านั้นครูบาชัยมงคลให้ทดลองครั้งที่สองกับล็อกเก็ตของพ่อครูโพมินข่อง ที่ท่านเพิ่งสร้างและเพิ่งเสกต่อหน้าต่อตาผู้เขียนเลย การเสกนั้นครูบาชัยมงคลท่านทำง่ายๆโดยกล่าวคาถาอัญเชิญครู จากนั้นอธิษฐานบอกกล่าวพ่อครูโพมินข่องให้ท่านทราบถึงเจตนาในการสร้าง ขอให้ท่านมาเสกให้มาอนุโมทนา ท่านทำการบอกกล่าวไม่เกิน ๕ นาทีก็เสร็จ จากนั้นท่านหันมาคุยว่า การเสกของที่เป็นรูปครูบาอาจารย์อย่างพ่อครูโพมินข่องนั้น เราเสกท่านไม่ได้หรอกของแบบนี้ ให้ท่านมาเสกเอง การที่เราบอกกล่าวครู เพียงแค่ครูท่านรู้ด้วยทิพยญาณแล้วท่านกล่าวอนุโมทนาในการสร้างของเราเท่านี้ก็สำเร็จบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแล้ว

พอท่านอธิบายจบก็เรียกผู้เขียนไปทันที บอกให้กำล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่องไว้ จากนั้นท่านกล่าวคาถาอัญเชิญครู อีกครั้ง ผู้เขียนหลับตากำหนดจิตสักพักรู้สึกเหมือนกันว่ามีมวลพลังงานบางอย่างมาทางด้านขวามือ ความรู้สึกก็คล้ายๆกับมีคนมายืนด้านหลังทางขวาของเรา พอจับความรู้สึกได้ก็ลืมตาขึ้นมาคิดว่าถ้าเราหลับตาทำสมาธิต่อพลังงานของครูคงมาแฝงร่างเราแน่นอน เพราะพลังงานของท่านเพียงเข้ามาใกล้ๆก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานมากทีเดียว ผู้เขียนจึงลืมตาขึ้นแล้วบอกครูบาท่านว่ารู้สึกแล้วครับผม รู้สึกว่าท่านมายืนใกล้ๆ พร้อมกับบอกท่านว่านี่ถ้าทำพิธีต่ออำนาจครูท่านคงแผ่พลังงานเต็มตัวผมแน่ๆและไม่แน่ว่าอาจมีการของขึ้นหรือไม่อาจควบคุมร่างกายได้ เพราะถูกพลังงานจากองค์ครูกำลังแสดงฤทธิ์ให้เกิดปีติอย่างโลดโผนขึ้น
ครูบาชัยมงคล ได้อธิบายว่ามันเป็นหลักของพลังงาน ที่ผู้สามารถสื่อพลังงานได้นั้นสามารถโยกย้ายพลังงานให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการและสามารถผูกหรือตรึงพลังงานนั้นไว้ให้อยู่กับที่ สิ่งเหล่านี้จะถูกควบคุมได้ด้วยกำลังของสมาธิจิต

สมัยก่อนอาจารย์ของครูบาชัยมงคลซึ่งมีนามว่า ปะขาวมี ท่านมีจริยาเหมือนพระแต่ท่านเป็นผ้าขาว ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านนับถือพ่อครูโพมินข่องมาก หิ้งพระท่านจะเล็กๆมีเพียงพระพุทธกับรูปปั้นของพ่อครูโพมินข่องประดิษฐานอยู่ เวลาคนมาขอความช่วยเหลือเจ็บป่วยจากการถูกทำด้วยคุณไสยหรือโดนผีเข้าท่านก็จะรักษาให้ โดยชูมือขึ้นแล้วมองไปที่รูปปั้นของพ่อครูโพมินข่อง พักเดียวก็เอามือที่ชูขึ้นสักครู่มาลูบขา มาปัดตรงที่ปวด แปลกแต่จริงเพียงแค่นั้นคนที่เจ็บป่วยก็หายจากอาการเจ็บเป็นปลิดทิ้ง ขาที่บวมๆอยู่ถึงกับยุบลงทันตาเห็น เป็นเรื่องที่แปลกมาก ท่านอาจารย์ปะขาวมียอกให้ครูบาชัยมงคลท่านศึกษาศาสตร์นี้เอาไว้เพราะจะช่วงสงเคราะห์คนได้ในภายภาคหน้า ซึ่งครูบาท่านก็ได้ศึกษาและนำมาสงเคราะห์ผู้ที่เจ็บป่วยจากคุณผีคุณคน โดยทุกครั้งก็จะระลึกถึงพ่อครูโพมินข่อง เอามือข้าวหนึ่งชูขึ้นรับพลังของท่านเหมือนที่ปะขาวมีท่านเคยสอนไว้ ครั้งหนึ่งมีคนผีเข้ามาให้รักษา ก็รักษาให้ตามแบบฉบับที่อาจารย์ปะขาวมีสอน ชูมือข้างหนึ่งขึ้นตั้งจิตถึงพ่อครูโพมินข่องจากนั้นเอามือข้างดังกล่าวมาลูกขา ปรากฏว่าคนที่ผีเข้ามีอาการร้อนเหมือนโดนไฟลน ไม่กี่อึดใจผีที่แฝงอยู่ในตัวทนไม่ได้ต้องออกไปทันที
ศาสตร์แบบนี้อยู่ที่ความศรัทธาและแรงครูบาอาจารย์ จึงสามารถสร้างปาฏิหาริย์หรือสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยากสำเร็จที่สำคัญคือต้องมีจิตใจบริสุทธิ์เป็นเรื่องของการสงเคราะห์ช่วยเหลือกันจริงๆไม่ใช่เอาวิชามาหากินเพื่อหวังเงินทองลาภสักการะแต่อย่างใด
ในปัจจุบันท่านครูบาชัยมงคลได้จักสร้างล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่องผู้วิเศษแห่งเมืองม่าน โดยอาศัยการเชิญบารมีและญาณทิพย์ของท่านมาอธิษฐานจิตร่วมอนุโมทนาในการสร้างมงคลวัตถุและอาศัยหลักวิชาแห่งการขับเคลื่อนพลังงานแฝงเร้นแลการตรึงพลังงานให้อยู่ภายในมงคลวัตถุเพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งพลังงานกับผู้ที่นำไปบูชา ซึ่งปรากฏว่าผู้ที่ได้นำไปจะเห็นผลในด้านต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเรื่องเมตตา การปกป้องคุ้มครอง การขับไล่สิ่งอัปมงคล ถอนอาถรรพ์ต่างๆ เหล่านี้เห็นผลดีกันมามากจนของที่สร้างขึ้นไว้ไม่เพียงพอกับความต้องการ

ท่่านที่สนใจล๊อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง ติดต่อได้ที่ วัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ. แพร่
โทร 054-661063 / 084-322-1859
และที่ สุริยันจันทรา โทร 02-399-2000 / 083-073-7515



วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยอดฮิตของทัวร์ไทยเมื่อไปเมียนมาร์

สารคดีซีรี่ส์พิเศษ  เส้นทางแห่งศรัทธา   โดย สุริยันจันทรา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยอดฮิตของทัวร์ไทยเมื่อไปเมียนมาร์
                นักทัศนาจรชาวไทยที่เดินทางไปย่างกุ่ง สหภาพพม่า เป้าหมายหลักคงไม่มีใครยอมพลาดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง  ที่เป็นศูนย์รวมจิตรวมใจพุทธศาสนิกชน

ประวัติและความสำคัญของพระมหาเจดีย์ชเวดากองได้นำเสนอผ่านคอลัมน์นี้ไปแล้ว  แต่อยากจะนำข้อมูลข่าวสารที่ทัวร์ทั่วไปอาจไม่ได้แนะนำหรืออรรถาธิบายนั่นคือ บริเวณลานพระมหาเจดีย์ชเวดากองด้านทิศตะวันออกมีสิ่งสำคัญที่ควรได้ไปกราบไหว้ขอพรนั่นคือ พระพุทธรูปที่บรมครูพู่พู่อ่อง หรือ โบโบอ่อง ( Bo Bo Aung ) มหาสิทธา ( ผู้สำเร็จ หรือผู้ทรงพลังเหนือธรรมชาติ ) ที่ตามประวัติกล่าวว่าเป็นราชครูหรืออาจารย์ของบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ

ครั้งสมัยพระเจ้าบุเรงนองปกครองแผ่นดินพม่าท่านมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  วันหนึ่งท่านประสงค์จะนำเพชรเม็ดใหญ่น้ำหนักหลายสิบกะรัตขึ้นไปประดิษฐานที่ยอดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง
บุเรงนองมีรับสั่งว่า.....ถ้าใครผู้ใดสามารถนำเพชรขึ้นไปประดิษฐานบนยอดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ได้ไดยไม่ใช้บันใดหรือนั่งร้าน  ท่านจะมอบแผ่นดินให้ครองกึ่งหนึ่ง
บรมครูพู่พู่อ่อง ได้อาสานำเพชรขึ้นไปยอดพระมหาเจดีย์  หลายคนวิตกว่าท่านจะปีนขึ้นไปได้ยังไงเพราะสูงมากและไม่มีที่เกาะยึดขึ้นไป
เมื่อได้เพชรมาแล้วบรมครูพู่พู่อ่องสำแดงฤทธิ์เหาะลอยขึ้นไปยอดพระมหาเจดีย์นำไปประดิษฐานพร้อมจารอักขระ “ สะ ตะ ปะ วะ  “  สุดยอดพระคาถาเอกอุ   เมื่อกลับลงสู่พื้น  บุเรงนองทรงพอพระทัยรับสั่งว่าจะขอมอบแผ่นดินกึ่งหนึ่งให้ปกครอง  แต่บรมครูพู่พู่อ่องถวายพระพรขอไม่รับ  แต่ขอให้พระองค์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้สถิตยสถาพร
บุเรงนองทรงยกย่องบรมครูพู่พู่อ่องเป็นราชครู หรือครูของพระราชา  ราชการงานเมืองต่าง ๆ ที่สำคัญ ตลอดจนเรื่องพิธีกรรมของบุเรงนองจะปรึกษาบรมครูพู่พู่อ่องเสมอ

                ด้านทิศตะวันออกของพระมหาเจดีย์ชเวดากองจะมีพระพุทธรูปที่บรมครูพู่พู่อ่องประดิษฐานอยู่ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องงดงามมากและมีอักษรจารึกว่าเป็นพระพุทะรูปที่พู่พู่อ่องหรือโบโบอ่อง สร้างถวายไว้

                ใกล้ ๆ กันมีเจดีย์สีขาว ที่ลานเจดีย์มีรูปสิทธาหันหน้าสักการะสู่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง  สัณนิษฐานว่าเป็นรูปของบรมครูพู่พู่อ่อง สิทธามหาเวทย์ที่ชาวพม่า มอญ ไทยใหญ่ และผู้ศรัทธาให้ความเคารพนับถือ

                เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 พระคณาจารย์จากประเทศไทย นำโดยครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย  พระอาจารย์ภูไทย วัดเขาแก้วฯ  พระอาจารย์นอง วัดทุ่งเสลี่ยม และพระอาจารย์เภก วัดสิงห์คูยาง  ได้เดินทางไปสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากองและนำวัตถุมงคลไปอธิษฐานจิต ณ บริเวณด้านทิศตะวันออก ที่วิหารพระพุทธรูปพู่พู่อ่องสร้างถวาย

                วัตถุมงคลที่นำไปอธิษฐานครั้งนี้มีอาทิ  
                                                 
                           ล๊อคเก็ตบรมครูพู่พู่อ่อง และ แหวนเงินลงยายันต์ “สะตะปะวะ” (  อักขระยันต์ที่บรมครูพู่พู่อ่องจารยอดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง) จัดสร้างโดยพระอาจารย์ภูไทย ปภากโร  วัดเขาแก้วฯ  จ.สุโขทัย

                      ล๊อคเก็ตและวัตถุมงคลครูบาชัยมงคล  วัดไทรย้อย จ.แพร่

                นอกจากพระมหาเจดีย์ชเวดากองแล้วสถานที่ “ ยอดฮิต” ที่นักทัศนาจรไทยต้องไม่พลาดคือการไปขอพรเทพทันใจ และเทพกระซิบ  แต่ก่อนอื่นต้องขอแนะนำให้ไปสักการะ พระ เจดีย์โบดาทาวน์
 เจดีย์โบดาทาวน์   ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรม สารีริกธาตุ  ครั้นเมื่อเจดีย์โบ ดาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด
ในบริเวณลานเจดีย์โบดาทาวน์มีศาลาประดิษฐานรูปปั้น นัตโบโบยี หรือ เทพทันใจ ซึ่งผู้ศรัทธานิยมมากราบไหว้บูชา ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ

วิธีขอพรจากเทพทันใจ (นัตโบโบยี)      ลำดับแรกเตรียมเครื่องถวายสักการะเช่น มะพร้าม กล้วย ดอกไม้ ( มีขายในวัด ชุดละประมาณ  80 – 100 บาท ) จากนั้นให้เตรียมเงินธนบัตรไว้ 2 ใบใช้ได้ทั้งเงินพม่า เงินไทย โดยม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนกัน จากนั้นนำไปใส่ไว้ที่มือของเทพทันใจ จากนั้นนำหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของเทพทันใจที่ชี้มา พร้อมกันนั้นให้เราอธิษฐานสิ่งที่ต้องการขอพรเพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้นจากนั้นให้เดินวน 3 รอบ ไหว้ท่านอีกสักรอบหน้าผากแตะไว้ที่นิ้วชี้ของเทพทันใจ และหยิบเงินที่ซ้อนในกรวยในมือท่านออก 1 ใบนำมาเก็บรักษาไว้ เป็นขวัญถุง ส่วนอีกหนึ่งในเป็นเงินทำบุญเป็นอันเสร็จพิธี
ต่อจากนั้นก้เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามมีอาคารประดิษฐานเทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วย

ตามตำนานกล่าวว่า นางเป็นธิดาของพญานาค  ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล  ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต  ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว  
การบูชาเทพกระซิบ  หรือ นัต อะมาดอว์เมียะนั้น นอกจากบูชาด้วยมะพร้าว  กล้วยที่จัดไว้เป็นชุดแล้ว ยังนิยมบูชาด้วยน้ำนม และข้าวตอก รวมทั้งดอกไม้  ซึ่งมักจะเป็นดอกมหาหงส์ ที่คนพม่านิยมใช้บูชาพระกันทั่วไป 
เคล็ดในการขอพรจากเทพกระซิบคือต้องเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ และขอพรกับท่านเพียงข้อเดียว
แต่ก็มีหลายท่านที่อยากจะขอพรหลายข้อ  เช่นมีคุณป้ารายหนึ่งอยากขอพรหลายข้อหลายประการคือ
1 ขอให้ตัวเองถูกหวย  2 ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่ง  3 ขอให้ลูกชายสอบเอ็นทรานซ์ติด   4 ขอให้ลูกสาวได้เป็นนางงาม  5 ขอให้สามีอย่ามีกิ๊ก ฯลฯ 
ทำไงดีล่ะเพราะเข้าไปกระซิบได้ครั้งละ 1 ข้อ    คนอื่นเขากระซิบเสร็จก็ออกไปรอข้างนอก คุณป้ารายนี้ยังวนเวียนเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเทพกระซิบรอบแล้วรอบเล่าสิริรวม 5 รอบ
ก้อไม่มีปัญหาอะไร...เขาให้กระซิบทีละข้อคุณป้าก็ทีละข้อ  แต่ห้ารอบเจ้าค่ะ

----------------------- 
ท่านที่สนใจวัตถุมงคลที่นำไปปลุกเสก ติดต่อที่ สุริยันจันทรา โทร 083-073-7515

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานเจ้าสัจจะยามินหน่อเนื้อแห่งพระโพธิญาณ
โดย ทิพยจักร

                  ครูบาอาจารย์ในสายวิชาปะฐะมะสิทธิ ถ้านับกันจริงๆมีมากกว่า ๑๐ องค์  แต่ที่นับถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือแห่งเมืองม่านหรือพม่ามีแค่ ๑๐ องค์หลัก ๆ    จริง ๆ แล้ววิชาสายนี้จะบอกว่าเป็นวิชาเมืองม่านหรือพม่าก็ไม่ถูกต้อง เพราะกำเนิดวิชานี้มีมาแต่ก่อนรวมประเทศเป็นพม่านานนับพันปี เรียกว่ามีมาตั้งแต่อาณาจักรมอญรุ่งเรือง
                     หนึ่งในบรมครูที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงสุดในบรรดาครูทั้ง ๑๐ แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ครูท่านแรก และยังมีฐานะเป็นศิษย์บรมครูพู่พู่อ่องด้วย แต่ท่านก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานแห่งองค์ครู และเป็นผู้ทรงบุญญาธิการชั้นสูง ทั้งนี้เพราะอะไรเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าบรมครูท่านนี้ได้สั่งสมบุญบารมีเพื่อสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์ศาสดาเอกของโลก ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองทำหน้าที่กอบกู้สรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ ในภายภาคหน้า โดยฐานะของท่านตอนนี้ท่านจึงเป็นองค์พระโพธิสัตว์ และเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ไม่แปรผัน เป็นหน่อเนื้อแห่งพระโพธิญาณ ด้วยปณิธานแห่งองค์ท่านและบุญบารมีที่สั่งสมมานี้จึงทำให้ท่านอยู่ในฐานะแห่งประธานของคณะบรมครูทั้ง ๑๐  ท่านดังกล่าวนี้คือ “เจ้าสัจจะยามินหน่อเนื้อแห่งพระโพธิญาณ”

               ตำนานขององค์เจ้าสัจจะยามินนั้น กล่าวไว้ว่าเมื่อท่านถือกำเนิดมานั้นมีสิ่งพิเศษติดตัวท่านมาสามประการคือ

 ๑ มีลายสวัสดิกะอยู่ที่ฝ่ามือของท่าน อันเป็นลายลักษณ์ของพระธรรมจักรแห่งบรมศาสดา ผู้มีลายนี้ติดตัวแต่กำเนิดถือว่าบำเพ็ญบารมีในพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน
๒ มียาทิพย์อยู่ในมือของท่านเมื่อท่านถือกำเนิดมาแล้ว เทพยดานำเอายาวิเศษมาใส่ไว้ในฝ่ามือของท่าน
๓ เมื่อท่านไปไหนมาไหนจะบังเกิดฉัตรกั้นแดดกั้นลมบังให้ท่านเป็นฉัตรทิพย์ประจำองค์ท่าน
ท่านเป็นถึงราชบุตรของกษัตริย์บูดอเอ เมื่อท่านเกิดมามีคุณวิเศษปานฉะนี้ บรรดาพระชายาท่านอื่น ๆ ของกษัตริย์ก็ย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา และพยายามใส่ร้ายโดยว่าจ้างท่านโหราให้ใส่ร้ายว่าเจ้าสัจจะยามินเป็นกาละกิณีต่อบ้านเมืองต้องประหาร

                                เมื่อเงินมีอำนาจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ท่านโหรเห็นแก่เงินเลยยุยงกษัตริย์บูดอเอว่าลูกของพระองค์จะทำให้บ้านเมืองพินาศเป็นกาลากิณี ทั้ง ๆที่พระองค์ทรงรักลูกคนนี้มาก แต่เมื่อโดนแผนยุยงปลุกปั่นเช่นนี้ก็จำใจสั่งให้ทหารเอาลูกชายสุดที่รักไปประหาร เรื่องที่กำลังเป็นกำลังตายของเจ้าสัจจะยามินนั้น ถูกล่วงรู้โดยญาณทิพย์ของบรมครูพู่พู่อ่อง บรมครูพู่พู่อ่อง ท่านทราบตั้งแต่พระโพธิสัตว์ลงมาอุบัติและมีญาณทัศนะล่วงรู้ความเป็นไปทั้งหมดของเจ้าสัจจะยามิน ทันทีที่เจ้าสัจจะยามินถูกพามาถึงลานประหาร เมื่อเพชรฌฆาตกำลังเงื้อดาบ ทันใดนั้นพู่พู่อ่องก็ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าสร้างความตะลึงพึงเพริดแก่ทุกคนทุกสายตาในที่นั้น พริบตาเดียวด้วยฤทธิ์เหนือโลกของบรมครูพู่พู่อ่อง ก็ทำให้เครื่องพันธนาการทั้งหมดที่รัดเจ้าสัจจะยามินหลุดออกแล้วท่านครูพู่พู่อ่องก็มาลอยลงมาอุ้มเจ้าสัจจะยามินไปเลี้ยงดูพร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาปะฐะมะสิทธิ ในดินแดนลับแลหรือบุพเพวิหทวีป จนเจ้าชายสัจจะยามินสำเร็จเป็นผู้เศษอีกท่านหนึ่งและกลายมาเป็นหนึ่งในบรมครูทั้ง ๑๐ แห่งสายวิชาปะฐะมะสิทธิตราบจนถึงปัจจุบัน

                    มีเรื่องเล่าอีกว่า เจ้าสัจจะยามิน นั้นเป็นผู้รักความสันโดษความสงบ แต่ในเมื่อท่านมีบุญญาธิการไปไหนมาไหนเกิดฉัตรวิเศษกางกั้นท่านเป็นอัศจรรย์ เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีชาวบ้านมาแห่ห้อมล้อมหน้าล้อมหลังเพื่อมาชมบารมี  ใคร ๆ ก็อยากเห็นผู้มีบุญที่สำคัญคืออยากเห็นฉัตรทิพย์ของท่านสัจจะยามินก็เลยแห่กันมา
                 ท่านเจ้าสัจจะยามินเมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่าเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ชีวิตก็ยากจะหาความสงบได้ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจหักฉัตรทิพย์ของท่าน บางตำนานเล่าว่าท่านไปรบกับผู้วิเศษอีกท่านนึง ชักเอาฉัตรทิพย์มาแทนดาบตีกันจนฉัตรทิพย์หัก ตำนานเรื่องฉัตรทิพย์หักนี้ต่อมาบรมครูที่รับวิชาจากเจ้าสัจจะยามินรุ่นต่อมาได้นำเอาฉัตรทิพย์จากเศษที่หักมานั้นนำมาฝนเพื่อเป็นส่วนผสมสำคัญในการสักยาแดง และเหตุนี้เองจึงทำให้วิชาสายสักยาแดงมีความเข้มขลังยิ่งนัก

                    วิชาสายยาแดงจึงเป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์มีตำนาน การสักยาแดงในสายวิชานั้นมีทั้งที่มาจากตำนานฉัตรทิพย์ของเจ้าสัจจะยามิน เซยากีหรือปรอทวิเศษจากสายวิชาของพู่พู่อ่อง และว่านยาต่างๆแล้วแต่ว่าศิษย์ผู้นั้นจะมีวาสนาบารมีมาขนาดไหนก็จะได้ตัวยามหาคุณอันวิเศษพิสดารมาเป็นส่วนหนึ่งของสูตรยาสัก

                   อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะสูตรยาสักแบบครูท่านไหนก็ถือว่าล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันทั้งสิ้นสำคัญคือใจของผู้รับนั้นต้องมีจิตบริสุทธิ์มีความเคารพศรัทธาอย่างแท้จริง ถือศีลได้บริสุทธิ์ประกอบด้วยจิตมีเมตตาต่อสรรพสัตว์คิดช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ ถ้ามีจริยาดังเช่นว่ามานี้เมื่อรับสักสายยาแดงแล้วก็จะเป็นสิริมงคล เป็นความศักดิ์สิทธิ์ต่อบุคคลผู้นั้น

             ปิดท้ายฉบับนี้ด้วยมีข่าวดีสำหรับผู้สนใจสายปะฐะสิทธิคือมีการจัดสร้างล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง สิทธามหาเวทย์ หนึ่งในผู้สำเร็จทั้งสิบ ที่ได้รับความเคารพอย่างยิ่งในเมืองม่าน  ด้านหลังฝังยาตำหรับ”ปะฐะมะสิทธิ” และตะกรุด “สะตะปะวะ”มหาวิเศษ โดยครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่  พระเกจิอาจารย์ที่เคยเดินทางไปเรียนวิทยาคมสายพม่าที่เชียงตุงและพุกาม
                     
            วัตถุมงคลรุ่นนี้มีสองพิมพ์คือ พ่อครูโพมินข่อง “นั่งช้างป่า มหาอำนาจ”  และพิมพ์”มีกินตลอดชาติ เขาโปปา” ครูบาชัยมงคลได้ประกอบพิธีอัญเชิญญาณพ่อครูทั้ง ๑๐ ประสิทธิ   ยามอาราธนาให้ตั้งจิตเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง คุณพระศรีอาริยะเมตรไตรย์ คุณพระนางสุรัสวดี คุณพ่อครูทั้ง ๑๐ มีพ่อครูโพมินข่องเป็นที่สุด โปรดจงมาช่วยลูกคนนี้ด้วย ปรารถนาสิ่งใดบอกท่านไปเถิดสำเร็จสมปรารถนาทุกประการแล

              หมายเหตุ   ติดต่อสอบถามได้ที่ วัดไทรย้อย  โทร 080-671-5287 และ สุริยันจันทรา 083-073-7515  / 02-399-2000
สำหรับคอลัมน์ สิทธามหาเวทย์  โดย ทิพยจักร ท่านที่สนใจสามารถดูย้อนหลังได้ในหมวดบทความเว็บ www.suriyanchantra.net   และ  http://aseanline.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

5 มหาสถานบูชาศักดิ์สิทธิที่สุดของพม่า

สารคดีซีรีย์พิเศษ “ เส้นทางแห่งศรัทธา”  โดย สุริยัน จันทรา

5 มหาสถานบูชาศักดิ์สิทธิที่สุดของพม่า

              เมืองม่าน หรือพม่าในปัจจุบัน  ประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ อาทิ พม่า มอญหรือรามัญ ไทยใหญ่ ฯลฯ  พม่าได้ชื่อว่าเป็นชาติที่นับถือพระพุทธศาสนาสายเถรวาทเช่นเดียวกับไทยเรามาแต่อดีตกาล  มีการสร้างเจดีย์พระธาตุ ศาสนสถาน ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นจึงมีปูชนียสถานอันเป็นที่สักการบูชาของชาวพม่า และชาวมอญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่นับถือเป็นมหาบูชาสถานสำคัญสูงสุดมี 5 แห่ง ที่เป็นเบญจมหาสถานบูชาอันเป็นความปรารถนาของชาวพุทธพม่าและชาวพุทธเถรวาทว่า.....ครั้งหนึ่งในชีวิตจักต้องหาโอกาสเดินทางไปสักการะมหาสถานบูชาให้ครบทั้ง 5 แห่ง  ที่เชื่อว่าด้วยผลานิสงส์จักส่งให้ได้พบกับความเป็นสิริมงคลในภพนี้ชาตินี้และได้สู่สวรรค์ในภพหน้า
  มหาสถานบูชาศักดิ์สิทธิที่สุดของพม่าที่โยงใย “เส้นทางแห่งศรัทธา”ทั้ง 5 แห่งได้แก่

          มหาสถานบูชาลำดับที่ 1 พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่ที่กรุงย่างกุ้ง ก่อสร้างเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว  กษัตริย์มอญคือ พระเจ้าโอกะลาปะ ซึ่งเลื่อมใสในพุทธศาสนาโปรดฯให้ก่อสร้างขึ้นมา มีความสูง 326 ฟุต เส้นรอบวง 1,420 ฟุต   องค์เจดีย์ประดับด้วยแผ่นทองคำ 4 หมื่นแผ่น รวมน้ำหนักทองถึง 8 ตัน ( 8,000 กิโลกรัม) สำหรับฉัตรซึ่งครอบยอดเจดีย์ สูง 33 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 18 ฟุต ประดับเพชรพลอยรวม  4,351 เม็ด รวม น้ำหนัก 2,000 กะรัต เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดบนยอดฉัตรมีฐานกว้าง 2 ฟุต ยาว 1 ฟุต 10 นิ้ว และหนัก 76 กะรัต

     พระมหาเจดีย์ชเวดากอง   เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุ รวม 8 พระองค์ของพระพุทธเจ้า ตามประวัติกล่าวว่าครั้งย่างกุ้งยังเป็นดินแดนของมอญมีชื่อเดิมว่า “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” กาลต่อมาพม่าเข้าครอบครองแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ย่างกุ้ง”
     “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” พระมหาเจดีย์ชเวดากองมีการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้ง โดยเฉพาะมีโบราณราชประเพณีที่กษัตริย์ของมอญและพม่าที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์เพื่อนำมาห่อหุ้มองค์พระเจดีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของชาวพุทธที่สำคัญที่สุดมาถึงปัจจุบัน

     มหาสถานบูชาลำดับที่ 2  พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย ( ภาษามอญหมายถึง หินรูปหัวฤๅษี) ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ เขตรัฐมอญ  ประเทศพม่า   พระธาตุอินทร์แขวน ประดิษฐานอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร ก้อนหินสุดแสนมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สูง 5.5 เมตร เส้นรอบวงของก้อนหินประมาณ 17 เมตร  เชื่อกันว่าพระธาตุอินแขวนนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน กล่าวกันว่าหากใช้เชือกดึงคนละด้านตอนล่างสุดจะสามารถลอดผ่านใต้ก้อนหินได้
ตามตำนานโบราณระบุว่าพระอินทร์เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อนำเอาพระธาตุมาแขวนไว้ให้ผู้ที่มีบุญมากราบไหว้ ใครได้มาสักการะจักได้อานิสงส์เท่ากับได้มาไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ และจะได้สั่งสมบุญให้ไปเกิดร่วมยุคพระศรีอารยเมตไตรย และเชื่อกันว่าผู้ที่มีบุญจะสามารถมองเห็นองค์พระธาตุอินทร์แขวนลอยอยู่อย่างชัดเจน



          มหาสถานบูชาลำดับที่ 3 พระมหาเจดีย์ชเวซิกอง  ตั้งอยู่ในเมืองพุกาม คำว่า “ชเวซิกอง” มีความหมายว่าเจดีย์ทองแห่งชัยชนะ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ องค์พระมหาเจดีย์เป็นสีทองรูประฆังทรงคว่ำ ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้วที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา
     พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากช้างที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้วคุกเข่าลงที่ใดจะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในสมัยพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักพุกามเมื่อ 960 ปีก่อน
พื้นผิวภายนอกพระมหาเจดีย์ชเวซิกองปิดด้วยทองคำเปลว ปัจจุบันมีความสูง 53 เมตร มีลวดลายปูนปั้นอยู่ 3 แถว และมีเจดีย์เล็กล้อมเป็นบริวารอยู่รายรอบ  
พระมหาเจดีย์ชเวสิกอง มีเอกลักษณ์หรือความอัศจรรย์ 9 ประการ ได้แก่  
1.การก่อสร้างยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม แต่ยังคงความแข็งแรง  
2.กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระมหาเจดีย์ชเวสิกอง จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระมหาเจดีย์ ( อันแสดงว่าพระมหาเจดีย์มีความใหญ่มาก )  
3 เงาพระมหาเจดีย์ชเวสิกอง จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระมหาเจดีย์  (ถ้าเงาล้ำออกไป โบราณถือว่าเป็นลางร้าย)  
4. ภายในเขตองค์พระมหาเจดีย์ชเวสิกอง สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (มามากเท่าไรเมื่อไรก็ไม่เคยเต็ม)  
5.มีการถวายข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าจะมาเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าแล้วเสมอ)    
6.เมื่อตีกลองใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม  
7. แม้พระมหาเจดีย์ชเวสิกอง จะตั้งอยู่บนพื้นราบแต่เมื่อมองจากด้านนอกจะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระมหาเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง  
8.ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระมหาเจดีย์ชเวสิกอง  
9.ลานพระมหาเจดีย์ชเวสิกอง มีต้นพิกุลซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปกติต้นพิกุลทั่วไปจะออกดอกปีละครั้ง )

          มหาสถานบูชาลำดับที่ 4 เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ตั้งอยู่ที่เมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุรวม 2 พระองค์ มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี  เป็นพระธาตุเจดีย์ที่สูงที่สุดของพม่า ด้วยความสูงถึง  375 ฟุต ( เมื่อเทียบกับมหาเจดีย์ชเวดากองที่สูง 326 ฟุต )
ที่เรียกเจดีย์ชเวมอดอร์ว่า “พระธาตุมุเตา” แปลว่าจมูกร้อน เนื่องจากพระธาตุองค์นี้สูงมากจนต้องแหงนหน้ามองต้องกับแสงแดด เนื่องจากพระธาตุชเวมอดอร์มีความสูงมาก
      เจดีย์ชเวมอดอร์มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของพม่าและไทย โดยพระเจ้าบุเรงนอง ( ผู้ชนะสิบทิศ)ได้ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างฉัตรถวายเพิ่มเติมอีกหลายชั้นจนพระธาตุสูงขึ้นอีกหลายเท่า และทรงถอดมณีที่ประดับยอดมงกุฎของพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชา และก่อนที่พระองค์จะออกทำศึกคราใดจะเสด็จมานมัสการพระธาตุนี้ก่อนทุกครั้ง ( ปัจจุบันจุดที่เชื่อว่าพระองค์ทำการสักการะยังปรากฏอยู่ )
อนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาตีเมืองพะโคก็ได้เสด็จนมัสการเจดีย์ชเวมอดอร์หรือพระธาตุมุเตาแห่งนี้ด้วย

          มหาสถานบูชาลำดับที่ 5 พระมหามัยมุนี     พระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เมืองธัญญวดี รัฐยะไข่ ด้านตะวันตกของพม่า กษัตริย์ที่โปรดให้สร้างคือ พระเจ้าจันทสุริยะ เมื่อปี พ.ศ.689  องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน   ตามประวัติกล่าวว่าก่อนสร้างพระเจ้าจันทสุริยะผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธองค์เสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อสืบพระพุทธศาสนาต่อไปในภายหน้า  
ในอดีตแม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยเมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพเพียงไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีออกจากเมืองยะไข่ได้ เนื่องจากมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2327 รัชสมัยพระเจ้าปดุงทรงมีชัยเหนือเมืองยะไข่  สามารถอัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีจนถึงยังเมืองมัณฑเลย์สำเร็จ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา
มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่าพระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจให้กับพระมหามุนีเพื่อเป็นตัวแทนสืบทอดพระศาสนา จึงเชื่อกันว่าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มีลมหายใจ จึงมีพิธีล้างพระพักตร์ถวายให้ทุกเช้า ซึ่งพิธีก็ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน   ชาวพม่าให้ความสำคัญของพระมหามัยมุนีว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญสูงสุดเช่นเดียวกับที่ชาวไทยนับถือ “พระแก้วมรกต” ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญสูงสุดเช่นกัน

มหาสถานบูชาศักดิ์สิทธิ ทั้ง 5 แห่งนี้ (เป็นพระมหาเจดีย์ 4 องค์  และพระพุทธรูป 1 องค์) ล้วนทรงความศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธพม่าและชาวพุทธเถรวาทนานาชาติที่มีพระบรมศาสดาองค์เดียวกันคือ
"พระโคตมพุทธเจ้า"

--------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ  ท่านที่สนใจสารคดีซีรีย์พิเศษ “เส้นทางแห่งศรัทธา” สามารถติดตามได้ในนิตยสารพระเครื่องพุทธคุณ และดูย้อนหลังได้ทางอินเตอร์เน็ตที่  http://aseanline.blogspot.com  และ www.suriyanchantra.net    ( หมวด บทความ )