วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่สรวง ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร



 หลวงปู่สรวง ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร 

               เรื่องราวเกี่ยวกับ “หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เทวดาเล่นดิน” ที่มีหนังสือ นิตยสาร ตีพิมพ์กันนั้นก็มีหลายแบบหลายแนว   ครั้งนี้ก็ขอยกเรื่องเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่สรวง  อีกแง่มุมหนึ่งที่เรียบเรียง โดย ทิพยจักร นักเขียนที่มีความศรัทธาในบารมีธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายหลวงปู่เทพโลกอุดร สายอภิญญาและติดตามลงพื้นที่ค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง
ทิพยจักร ได้บันทึกไว้ว่า........พระอาจารย์เทียนชัย แห่งวัดเทพสรธรรมาราม  (  บายตึ๊กเจีย ) ปทุมธานี  ได้เล่าไว้ว่า    ก่อนหลวงปู่สรวงจะละสังขารปี 43 ท่านบอกกับคนใกล้ชิดว่าอีก 10 ปีความลับจะเปิดเผย 


           ครั้นพอครบ 10 ปี ในปี 2553 เป็นปีที่ พระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร) วัดปทุมวนาราม ปทุมวัน กรุงเทพ เชิญอาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย ขึ้นบรรยายธรรมบนศาลาพระราชศรัทธา (วัดปทุมวนาราม ปทุมวัน กรุงเทพฯ)
                   ในวาระนี้เองอาจารย์สมมรรคได้ขึ้นเล่าเรื่องราวของหลวงปู่สรวงที่ได้รับ ฟังมาจากหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มีศรัทธาญาติโยมรับฟังเรื่องราวของหลวงปู่สรวงในครั้งนั้นในครั้งนั้นเป็น จำนวนหลายร้อยคนเต็มศาลาพระราชศรัทธาไปหมด
      ท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มเปิดประวัติของหลวงปู่สรวงจากคำบอกเล่าของหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ดังนี้ว่า
               “ หลวงปู่สรวงเป็นชาวเขมรเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมัน องค์หลวงปู่สรวงท่านมีศักดิ์มีฐานันดรเป็นลูกชายคนโตครองตำแหน่งอุปราชผู้จะ ขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองขอมคนต่อไป    ท่านเป็นพี่ชายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 และแน่นอนว่าถ้าท่านอยู่ตามทางโลกท่านย่อมเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
               แต่องค์หลวงปู่สรวงมีจิตใจใผ่ในทางเนกขัมมะคือออกบวชมาแต่เยาว์วัยด้วยวาสนา ที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ และไม่ปรารถนาจะอยู่ตามทางโลกอีกต่อไปทั้งเล็งเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ตามทาง โลกโดยเฉพาะการขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นเป็นสิ่งที่มีภาระมากต้องตัดสินลง อาญา ต้องก่อกรรมทำบาปโดยใช่เหตุ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจออกบวช
          การออกบวชครั้งแรกของหลวงปู่สรวงนั้นท่านออกบวชเป็นฤาษี ท่านท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพรจนไปพบเจออาจารย์ที่เป็นมหาฤาษีผู้สำเร็จ อภิญญาสมบัติ มีอายุยืนยาวนับพันปี มีญาณสมาบัติกล้าแข็งมีฤทธิ์อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินฟ้า เดินไต่น้ำ ดำดิน เดินทะลุภูผากอไผ่หินผาศิลาแลงที่ทึบทั้งแท่งก็เดินทะลุได้ มีตาทิพย์หูทิพย์ ล่วงรู้ในสิ่งต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์
       หลวง ปู่สรวงร่ำเรียนวิชากับองค์มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์จนสำเร็จวิชาต่าง ๆ ครบถ้วน ทรงอภิญญามีอายุยืนยาวนานไม่จำกัดกาลเวลาได้ ที่สำคัญคือองค์หลวงปู่สรวงมีอภิญญาแก่กล้าทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ หลวงปู่สรวงเมื่อสำเร็จเป็นมหาโยคีผู้มีฤทธิ์อำนาจทางจิตอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านก็เที่ยวโปรดชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

      องค์หลวงปู่สรวงท่านจะประจำอยู่ตามอโรคยาศาลาโดยอโรคยาศาลานี้เป็นปราสาทหิน ขนาดเล็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานพยาบาล แก่ประชาชนชาวบ้านทั้งหลาย ที่ได้รับทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ องค์หลวงปู่สรวงท่านก็โปรดชาวบ้านด้วยเวทย์มนต์คาถา ตัวยาสมุนไพร พลังอำนาจจิต ทำให้ชาวบ้านพ้นจากทุกข์ของเจ็บไข้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
           ใน ช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที 1 ชนชาติขอมยังนับถือลัทธิพราหมณ์ บูชาเทพยดา และภูตผีเป็นสรณะ พระเจ้าแผ่นดินยอมให้สร้างปราสาทเพื่อบูชาเทพเจ้า การสร้างปราสาทต้องใช้แรงงานทั้งคนทั้งสัตว์จำนวนมากมาย นอกจากนี้การบูชาเทพเจ้าในสมัยนั้น ยังนิยมการบูชายัญ และพิธีกรรมอีกมากมาย ทัศนคติการใช้แรงงานคนในการสร้างปราสาทหินและการบูชายัญนั้นหลวงปู่สรวงไม่ เห็นด้วย เพราะเป็นการทรมานคน ทรมานสัตว์ เห็นแล้วเกิดความสังเวชใจ
           อย่างไรก็ตามหลวงปู่สรวงหรือมหาโยคีสรวงในครั้งนั้นก็ได้แต่เก็บความรู้สึก ไว้ภายใน และด้วยอำนาจฌานสมบัติที่ท่านสำเร็จสำเร็จแล้ว จึงทำให้ท่านสามารถมีชิวิตยืนยาวนับแต่รัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 จนมาถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 2,3,4,5,6และ 7
         ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี่เองความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาแบบมันตรยานกำลังก่อตัวและเจริญ อย่างสุงสุด ในช่วงต้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังนับถือลัทธิพราหมณ์ จนกระทั่งมหาโยคีสรวงได้ปลงใจว่าควรจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่มีการบำเพ็ญสมณธรรมและมีหลักธรรมอันลึกซึ้ง เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับลัทธิโยคีที่ตนนับถืออยู่ แต่ดีกว่าลัทธิพราหมณ์ตรงที่ไม่เน้นการสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการบูชายัญ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

             ดังนั้นองค์มหาโยคีสรวงจึงขอออกบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นองค์ประธานในการบวชและเมื่อมหาโยคีสรวงกลายมาเป็นหลวงปู่สรวงแล้วท่านก็ ชักชวนให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หันมานับถือพระพุทธศาสนา
            จนกระทั่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ทรงนับถือในคติพระโพธิสัตว์ตามแนวมันตรยานที่นับถือองค์อวโลกิเตศวร พระองค์มีความเชื่อว่าพระองค์คือองค์อวตารของพระอวโลกิเตศวรเจ้า
               ทั้ง นี้จึงเกิดแรงบันดาลใจให้พระองค์จำหลักหน้าพระองค์เองไว้ตามปรางค์ปราสาท ต่างๆ เรียกหน้าแบบ บายนจัดเป็นกลุ่มๆละ 9 กลุ่มละ 72 กลุ่มละ 81 ทุกกลุ่มเมื่อเอาเลขสองตัวบวกกันจะรวมแล้วได้ 9 ทุกครั้งไปการสร้างการจำหลักพระพักตร์ของพระองค์ไปทุก ๆ ทิศเป็นไปตามคติที่ว่า องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป้นผู้มองสรรพสัตว์และเงี่ยหูฟังสรรพสัตว์ ทั้งหลายด้วยปรารถนาจะสงเคราะห์ช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง โดยเฉพาะทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้นแล

            หลวงปุ่สรวงเมื่อบวชเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาแล้วก็เจริญกรรมฐานตามแนวทางของพระพุทธองค์จนบรรลุธรรมสูงสุด เป็น จตุปฏิสัมภิทาญาณแก่กล้าในอิทธิฤทธิ์ในเดชสูงสุด ดำเนินตนตามแนวทางพระโพธิสัตว์ คือ แม้บรรลุหลุดพ้นแล้วก็ยังไม่เข้านิพพานจะยังโปรดสรรพสัตว์ผู้ยากทั้งหลาย ดูแลพระพุทธศาสนาต่อไปก่อน อีกนานเท่าไรไม่มีกำหนดแล้วแต่ความปรารถนาขององค์หลวงปู่สรวงท่านเอง
        หลวงปู่สรวงมีชีวิตอยู่อย่างไร้กาลเวลาไม่มีกำหนดเวลาถึงความสิ้นสุด ท่านชำนาญในการเข้านิโรธ เข้าสมบัติ 8 ถอดจิตชำนาญในมโนมยิทธิการแสดงฤทธิ์ทางใจ ชำนาญในกสิณอภิญญา ควบคุมบังคับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด สามารถเนรมิตวัตถุ  สามารถเรียกของจากอีกที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่งได้ สามารถชนะแรงโน้มถ่วงของโลก ชนะกาลเวลา มีความเป็นอิสระจากพันธนาการทุกชนิด ชนะกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกวัตถุทุกประการ นี่คืออภิญญาส่วนหนึ่งอันยกตัวอย่างมาน้อยนิดในองค์พระหลวงปู่สรวงมหามุนี   ดาบสผู้ทรงอิทธิ์ฤทธิ์บุญฤทธิ์เหนือโลกเหนือวิลัยแห่งปถุชนคนธรรมดา
                 หากจะนับอายุของหลวงปู่สรวงตั้งแต่เกิดมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน จนมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุท่านก็นับพันปีแล้ว และหากนับช่วงระยะเวลาจากยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จนถึงปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่า 1,200 ปี
                       ลองคำนวณดูแล้วอายุของท่านก็ยาวนานนับพันปี เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่หลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิงถ่ายทอดเอาไว้
               อาจารย์สมมรรค กั๊วพิศมัย  เคยได้ศึกษาธรรมกับหลวงปู่สรวงและหลวงปู่ก็เมตตามาเยี่ยมและพำนักที่สถาปฏิบัติธรรมของอาจารย์สมมรรคที่เชิงเขากระโดง บุรีรัมย์  อาจารย์สมมรรคได้เก็บรักษาเส้นเกษาและจีวรที่หลวงปู่สรวงมอบให้  และในปี พ.ศ.2553 อาจารย์สมมรรค ได้นำเส้นเกษาและจีวรของหลวงปู่สรวงถวายพระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร)เพื่อจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่สรวง 2 องค์ คือองค์ยืนสะพายย่าม  และ องค์นั่งบริกรรม


               ปัจจุบันรูปเหมือนหลวงปู่สรวง  องค์ยืนประดิษฐานที่สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนามราม ( ศาลาเดียวกับหลวงปู่เทพโลกอุดร )  สำหรับองค์นั่งบริกรรมประดิษฐานที่ศาลาเอนกประสงค์ ( ติดกับศาลาพระราชศรัทธา)  ทั้งสององค์นี้มีผู้ไปกราบไหว้บูชาอธิษฐานขอพรเพิ่มมากขึ้นทุกวัน  ด้วยแรงศรัทธา ด้วยประสบการณ์ที่พบประสบจริง

               ในโอกาสจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่สรวงโดยพระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร) เป็นผู้นำศรัทธาครั้งนี้ มูลนิธิถาวรจิตตถาวโรฯ ได้จัดสร้างวัตถุมงคล หลวงปู่สรวง รุ่น ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร   ประกอบด้วยเหรียญ  ล๊อคเก็ต รูปหล่อรูปเหมือนหลวงปู่สรวง 




 ท่านที่สนใจเชิญบูชาได้ที่ฝ่ายวัตถุมงคลมูลนิธิถาวรจิตตถาวโรฯ  วัดปทุมวนาราม ถนนพระราม1 ปทุมวัน  กรุงเทพฯ
ขอเชิญชวนทั้งทั้งหลายไปกราบขอพรขอบารมีองค์หลวงปู่สรวงได้ทุกวัน.....สวรรค์มีตา เทวดาเดินดิน  

                                        วัตถุมงคลหลวงปุ่สรวง รุ่นต่าง ๆ ดูได้ที่   www.amulettv.com


วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งมอญพม่า โดย ทิพยจักร

ตำนานพู่พู่อ่อง โดย ทิพยจักร



        บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ และยังเป็นหนึ่งในครูทั้งสิบสายยาแดง ท่านสำเร็จวิชาธาตุ ๔ สามารถควบคุมธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด นับเป็นผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ที่พระเจ้าบุเรงนองนับถือสุดหัวใจ



       ตำนานเรื่องพู่พู่อ่องเล่าสืบต่อกันมาว่าท่านได้รับคัมภีร์วิเศษเป็นพระเวทย์วิชาอาคมที่จารึกลงบนแผ่นทอง ท่านได้ศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ และเดินจาริกไปที่ต่างๆจนสำเร็จวิชาในที่สุดเล่ากันว่าในขณะที่ท่านเดินจาริกแสวงหาความรู้นั้นท่านเคยจาริกไปถึงเมืองชมพูทวีปคืออินเดียในปัจจุบันคราวที่ท่านไปถึงเมืองอินเดียนั้นได้พบกับพระเจ้าปุดอตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายยังมิได้ทันขึ้นครองราชย์คราวนั้นเมื่อพบกันจึงเกิดคำมั่นสัญยาว่าจะเป็นเพื่อนกันซื่อสัตย์ต่อกันตลอดชั่วชีวิต ต่อมาไม่นานพู่พู่อ่องสำเร็จซึ่งฌานสมาบัติและพระเวทย์วิเศษ สำเร็จปรอทธาตุอันวิเศษ ทำให้เป็นอมตะไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันตาย ประกอบด้วยอิทฤทธิ์พิสดารยิ่งนัก ส่วนเจ้าชายปุดอก็ได้ขึ้นครองราชย์สมใจเป็นกษัตริย์ปุดอแห่งเมืองม่านหรือพม่านั่นเอง


       พู่พู่อ่องครั้งนึงจึงเคยเป็นเพื่อนกับกษัตริย์ปุดอ ต่อมาเมื่อพู่พู่อ่องสำเร็จเป็นผู้วิเศษ พอกษัตริย์ปุดอรู้เข้าว่าเพื่อนของตนสำเร็จเป็นผู้วิเศษสมปรารถนาแล้วก็เกิดความระแวงว่าพู่พู่อ่องจะมาชิงราชบัลลังค์ เลยประกาศจับตัวแล้วประหารโดยฝังทั้งเป็น ทหารยกกองทัพออกตามหาพู่พู่อ่องจนเจอแล้วจับมัดตัวขึ้นเรือเพื่อพากลับมายังวังของกษัตริย์ เมื่อเรือเริ่มออกจากท่าทหารก็แทบหัวใจวาย เพราะพู่พู่อ่องไปยืนยิ้มอยู่ที่ฝั่ง พวกทหารต้องกลับขึ้นฝั่งไปใหม่เพื่อจับพู่พู่อ่องอีกครั้ง คราวรี้พวกทหารวิงวินว่า ถ้าพู่พู่อ่องไม่ไปด้วยคนที่จะตายคือพวกเขาแน่นอน พู่พู่อ่องสงสารเลยบอกว่าพวกเจ้าจงกลับไปหากษัตริย์ของเจ้าเถอะเราสัญญาว่าจะให้เจ้าจับตัวส่งกษัตริย์ของเจ้าอย่างแน่นอน


        ทันทีที่ทหารพาเข้าเฝ้ากษัตริย์ปุดอ พู่พู่อ่องก็ปรากฏขึ้นในรูปของผู้โดนพันธนาการด้วยการมัด แต่เมื่อกษัตริย์ปุดอสั่งให้ไปฝังทั้งเป็น พู่พู่อ่องก็เนรมิตรตนลอยขึ้นไปกลางอากาศ อะไรก็จับไม่อยู่โซ่ตรวน เชือกมัดต่างหลุดลุ่ยออกทั้งหมด พู่พู่อ่องประกาศว่า การจะประหารเรานั้นท่านต้องลบอักขระที่ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวังให้ได้ ทันใดนั้นอักขระวิเศษก็ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวัง ทหารทุกคนต่างช่วยกันลบ แต่ยิ่งลบอักขระนั้นกลับยิ่งเพิ่ม มากขึ้น มากขึ้น จนเต็มพระราชวังไปหมด สุดท้ายก็ไม่มีใครลบอักขระวิเศษออกได้ พู่พู่อ่องกล่าวกับกษัตริย์ปุดอว่า ท่านตระบัดสัตย์ เพราะท่านเคยสัญญาว่าจะเป็นมิตรแก่เรา แต่บัดนี้ท่านกลับคำคิดสังหารเราเสีย ด้วยอคติที่โง่เขลา ด้วยความสามารถของเรานั้นสามารถทำให้ท่านปกครองโลกทั้งโลก พู่พู่อ่องกล่สวก่อนที่จะจากไป ในขณะที่กษัตริย์ปุดอสำนึกผิด ได้แต่เพียงวิงวอนว่า ขอให้พู่พู่อ่องช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านสืบไป จากนั้นพู่พู่อ่องก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตากษัตริย์ุดอและปวงทหารทั้งหลาย ทิ้งไว้แต่ความเสียดายที่ไม่สามารถนำผู้มีความสามารถอย่างพู่พู่อ่องมาช่วยราชการบ้านเมืองเพื่อความผาสุกยิ่งๆขึ้นไป


       จากนั้นมาพู่พู่อ่องได้กลายเป็นผู้วิเศษที่ล่องหนหายตัวไปตามสถานที่ต่างๆคอยดูว่าผู้ใดมีบุญวาสนามีใจสุจริตก็จะไปโปรดสอนวิชากรรมฐานและเล่นแร่แปรธาตุ เชื่อกันสืบมาตราบจนบัดนี้ว่าเดี๋ยวนี้พู่พู่อ่องก็ยังคงมีชีวิตสังขารเป็นอมตะ ท่านอยู่ที่เขาโปปา แต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็นเพราะท่านอยู่อีกมิติหนึ่งเหลื่อมซ้อนอยู่ต้องได้อภิญยาตาทิพย์มองเข้าไปจึงเห็นท่านได้ ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะพบพู่พู่อ่องท่านว่าให้พึงเจริญพระกรรมฐานจนได้ฌาน ๔ ประกอบด้วยพรหมวิหาร และคำสัตย์มีสีลเป็นที่รักในใจท่านก็จะได้พบพู่พู่อ่องตามปรารถนาที่สำคัญคือให้อธิษฐานถึงท่านเป็นประจำ


       ท่านผู้อ่านเมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้อาจเข้าเค้าว่าเรื่องพู่พู่อ่องนั้นคล้ายๆกับเรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรทางฝั่งไทยเรา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงและอาจเป็นไปได้ด้วยว่าในความเป็นจริงโลกของอริยะหรือผู้ทรงฌานสมาบัตินั้นท่านเหล่านี้ย่อมรู้จักซึ่งกันและกัน ในโลกทางวัตถุเราสามารถสื่อสารเชื่อมโยงกันด้วยสัญญาณดาวเทียม สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณวิทยุฉันใดก็ดีในโลกแห่งพลังจิตท่านย่อมเชื่อมโยงติดต่อกันด้วยจิตอันทรงพลานุภาพ อันว่าอำนาจจิตนั้นมีศักยภาพสูงยิ่งว่าคลื่นสัญญาณใดๆที่พวกเราใช้อยู่ในปัจจุบัน มีอานุภาพความชัดเจนความเร็วยิ่งกว่าคลื่นดาวเทียม โทรทัศน์ โทรศัพท์เป็นไหนๆ แต่ทั้งนี้ผู้ปรารถนาจะติดต่อสื่อสารด้วยอำนาจจิตพิเศษก็ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญมีสมาธิแก่กล้า จนสามารถรับคลื่นและส่งคลื่นจิตได้ตามปรารถนา



       พู่พู่อ่องนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สำเร็จซึ่งวิชาปรอทวิชาเลขยันต์ วิชาการทำประคำ และวิชาการทำตัวยาวิเศษ ทั้งนี้ท่านทรงฌานสมาบัติสูงสุด ทั้งมีฤทธิ์อภิญญาอย่างเยี่ยมยอด กล่าวกันว่าท่านดำรงสังขารอยู่ได้ด้วยอำนาจจากฌานสมาบัติที่ท่านทรงไว้ เรียกว่าการทรงอิทธิบาท ๔ และประกอบกับท่านสำเร็จปรอทวิเศษและตัวยาวิเศษจึงทำให้ท่านอยู่ได้ชั่วกัปล์ คำว่ากัปล์นี้ไม่ได้หมายถึงระยะเวลา ๑๒๐ ปีตามกำหนดอายุมนุษย์ทั่วไป แต่หมายถึงระยะเวลาที่ยาวนานมากๆอาจเป็นหมื่นปี แสนปี ล้านปี หรือยาวนานกว่านั้นก็ทำได้ดังใจของท่านปรารถนาทุกประการ เล่ากันว่าพู่พู่อ่องนั้นท่านอธิษฐานรอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอริเมตรตรัยมาอุบัติเมื่อท่านได้ฟังธรรมจากพระศรีอาริย์แล้วท่านก็จะเข้านิพพาน ณ กาลบัดนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นดวงจิตดวงใจของท่านบรมครูพู่พู่อ่องนั้นเป็นดวงจิตที่พร้อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงเพียงแต่ท่านอธิษฐานขอเข้าเฝ้าองค์พระศรีอาริย์ไว้เท่านั้นจึงชะลอจิตยั้งจิตไว้ยังไม่เข้าสู่มรรคผลขั้นสูงสุดและระหว่างนี้ท่านก็ทำหน้าที่โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พึงจะสงเคราะห์ได้ตามวาสนาบารมี


       เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้มีทีเด็ดที่ว่า ที่ผ่านมาคณะของ หลวงปู่บุญ โสภโณ วัดทุ่งเหียง จ.ชลบุรี  ครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย  อ.เด่นชัย จ.แพร่ พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร  วัดเขาแก้วชัยมงคล  อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และพระอาจารย์ฉลอง  ปํญญาวโร  วัดยางเอน อ.เมือง จ.สุโขทัย ท่านเหล่านี้ได้ไปประกอบพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลสายยาแดง สายพู่พู่อ่องที่เขาโปปา ประเทศพม่า  ณ ห้องนอนของท่านบรมครูโพมินข่อง




        แน่นอนว่างานนี้ครูบาชัยมงคลและครูบาภูไทร่วมน้อมจิตส่งกระแสอัญเชิญพ่อครูทั้ง ๑๐ สายยาแดง โดยมีบรมครูพู่พู่อ่องเป็นประธาน


               เพื่อมาประกอบพิธีพุทธาภิเษก ให้วัตถุมงคลทุกชิ้นทุกอันทุกองค์เกิดความเข้มขลัง มีอานุภาพขจัดเสีนยดจัญไร ป้องกันภยันอันตรายทั้งหลาย เป็นเครื่องค้ำคูณดวงชะตาและเป็นมหาเสน่ห์ชั้นสูง



         วิชาสายยาแดงหรือสายของบรมครูพู่พู่อ่องนั้นโดดเด่นยิ่งนักเรื่องการป้องกันผู้อื่นให้ร้ายทำร้ายทั้งทางตรงทางอ้อม แถมยังเด่นอย่างยิ่งเรื่องเสน่ห์ชั้นสูง ดังนั้นผู้ใดที่ได้วัตถุมงคลชุดนี้ไว้ครอบครองบอกได้เลยว่าบุคคลผู้นั้นถือว่ามีบารมีของพ่อครูทั้งสิบปกเกล้าปกกระหม่อมอย่างเต็มๆ โดยเฉพาะบารมีของบรมครูพู่พู่อ่องและบารมีของพ่อครูโพมินข่อง ยังไม่นับบารมีจากวิชาเร้นลับสายล้านนาและพลังจิตจากครูบาอาจารย์ในคณะที่ไปร่วมกันแผ่พลังจิตอธิษฐานเครื่องมงคลชุดนี้ให้มีความสมบูรณ์อย่างถึงที่สุด




หมายเหตุ    
สำหรับรายการวัตถุมงคลที่ได้รับการอธิษฐานจิต ณ เขาโปปา ประเทศพม่า ที่ห้องนอนของพ่อครูโพมินข่องมีดังนี้






สนใจติดต่อได้ที่

วัดทุ่งเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี  โทร 080-567-4807

ครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่  โทร.080-671-5287

พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร วัดเขาแก้วฯ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย  โทร085-4000-101

พระอาจารย์ฉลอง  ปํญญาวโร  วัดยางเอน อ.เมือง จ.สุโขทัย

และทุกรายการมีรวมอยู่ที่ “ สำนักงาน สุริยัน จันทรา” สุขุมวิท 101/1 โทร 02-399-2000 / มือถือ 083-073-7515 /  094-930-9355 อีเมล์ 3992000@gmail.com

รายละเอียดเพิ่มเติม ดูได้ที่  www.สุริยันจันทรา.com  / www.poothai.net / www.krooba.com

หลวงพ่อศิลา

ประวัติหลวงพ่อศิลา

วัดทุ่งเสลี่ยม อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย



หลวงพ่อศิลา

     หลวงพ่อศิลา เป็นนามที่ชาวบ้านวัดทุ่งเสลี่ยมเรียกขาน พระพุทธรูปนาคปรก ปางสมาธิ สกัดจากหินทรายสีเทา ทรงกรองศอพาหุรัด กุณฑล สวมศิราภรณ์ สวมมงกุฎเทริด พระพักตร์ทรงสี่เหลี่ยม ประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานขนาดนาค 3 ชั้น นาคที่ปรกอยู่เหนือพระเศียรนั้นมี 7 เศียร ด้านหลังหางนาคพาดขึ้นมาถึงลำตัว มีลวดลายแบบศิลปะลพบุรี องค์พระวัดจากฐานถึงปลายยอดเศียรนาคสูง 85.50 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 44 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 126.5 กิโลกรัม

      ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงประทานความเห็นไว้ว่า

"..พระพุทธรูปองค์นี้ ที่กระบังหน้ามีแนวขึ้นมาตรงกลาง ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบของโบราณวัตถุที่ทำขึ้นในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรี เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศิลปะเขมร เพราะแม้ลักษณะทั่วไปจะดูคล้ายกัน แต่พระพักตร์นั้นไม่เป็นแบบขอม"

      คำแนะนำที่ทรงประทานนี้ ได้รับการยืนยันโดย นายอาวุธ สุวรรณาศรัย หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งกรมศิลปากรได้ส่งมาตรวจพิสูจนอายุและคุณค่าทางศิลปวัตถุขององค์พระ ดังนี้

      "องค์พระพุทธรูปศิลานั้นแกะสลักจากหินทรายเทา มีความสมบูรณ์และมีลักษณะพิเศษที่ชัดเจนมาก กล่าวคือ มีผ้าทิพย์รองรับตัวองค์พระ ซึ่งปกติแล้วจะเดินเป็นเส้นตรงมากกว่า นอกจากนี้บริเวณด้านหลังมีลายดอกจันที่ขุดลึกลงไปในเนื้อหิน ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบมักเป็นลายขีดธรรมดา สาเหตุที่องค์พระมีความสมบูรณ์ไม่บุบสลายไปตามกาลเวลา น่าจะเป็นเพราะตั้งอยู่ในถ้ำ ไม่ได้จมอยู่ในดินเหมือนองค์อื่นๆ ที่เคยขุดพบ ลักษณะนั้นเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก สิลปะผสม ลักษณะสำคัญซึ่างบ่งชี้ว่า ไม่ใช่ศิลปะแบบบายนแท้ ก็คือ พระพักตร์จะไม่แย้มพระโอษฐ์ ผิดกับเทวรูปกษัตริย์ชัยวรมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะแย้มพระโอษฐ์ทุกพระองค์ จากการตรวจสภาพเนื้อหิน ยืนยันได้ว่าเป็นของแท้ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เป็นศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร มีคุณค่ามากด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ …"

     แต่เดิมนั้นหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ที่ถ้ำเจ้าราม ซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชาวบ้านได้ไปหามูลค้างคาวในแถบถ้ำเจ้าราม ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งเล่าให้ฟังว่า ภายในถ้ำเจ้ารามมีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่หลายองค์ และองค์หนึ่งมีความงามโดดเด่นกว่าองค์อื่นใด เป็นพระพุทธรูปศิลานาคปรก

       เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านก็นำความมาเล่าให้พระอภัย เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม ซึ่งได้หารือกับผู้ใหญ่บ้านว่า จะนำพระพุทธรูปมาไว้ที่วัดทุ่งเสลี่ยม แต่เนื่องจากพระอภัยนั้นสูงอายุ เดินทางไม่ไหว จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ ความได้ล่วงรู้ไปถึงครูบาก๋วน เจ้าอาวาสวัดแม่ปะหลวง ตำบลแม่ปะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ซึ่งท่านก็มีความศรัทธาจึงได้รวบรวมคนเดินทางไปอัญเชิญพระพุทธรูปปางนาคปรก ณ ถ้ำเจ้าราม เมื่อคณะเข้าสู่ภายในถ้ำเจ้าราม ได้พบพระพุทธรูปนาคปรก ซึ่งมีฝูงค้างคาวบินวนเวียนอยู่อย่างมากมาย ครูบาก๋วนจึงได้ทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปออกจากถ้ำ และเดินทางรอนแรมมาด้วยความยากลำบาก ผ่านหนองปลาซิว (บ้านห้วยทราย) หนองส้มป่อย (บ้านน้ำดิบ) จนกระทั่งถึงอำเภอทุ่งเสลี่ยม

     เมื่อชาวบ้านทุ่งเสลี่ยมรู้ข่าว จึงพากันจัดขบวนดนตรีพื้นเมือง และขบวนฟ้อนรำมาต้อนรับด้วยความปีติยินดีถ้วนหน้า จวบจนขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปนาคปรกเดินทางมาถึงวัดทุ่งเสลี่ยม ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ท้องฟ้าที่แจ่มใส แสงแดดที่ร้อนแรงของเดือนเมษายนก็ถูกบดบังด้วยเมฆฝน เกิดฝนตกหนักเป็นเวลานาน เมื่อฝนหยุดตกก็มีฝูงค้างคาวบินมาวนเวียนเหนือบริเวณวัดทุ่งเสลี่ยมแล้วจึงบินกลับถ้ำเจ้าราม

       ชาวบ้านได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปศิลา จึงไม่ยอมให้ครูบาก๋วนอัญเชิญกลับไปยังอำเภอเถิน เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยมจึงได้หารือไปยังเจ้าคณะอำเภอสวรรคโลก ซึ่งเจ้าคณะอำเภอได้ตัดสินให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปนาคปรกนี้ว่า พระศิลา เพราะเห็นว่าแกะสลักมาจากหินทราย ครูบาก๋วนจึงได้จำลองพระศิลา กลับไปประดิษฐานไว้ที่วัดปะหลวง อำเภอเถิน จังหวัดลำปางด้วยใจศรัทธา

     ครั้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้ามาโจรกรรมพระศิลาไปจากพระอุโบสถใหญ่ วัดทุ่งเสลี่ยม พระศิลาจึงได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

       อีก 17 ปีต่อมาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2537 กลุ่มอนุรักษ์ชาวไทยในต่างแดนได้พบข่าวพระศิลาในประเทศอังกฤษจึงได้เขียนจดหมายถึงสื่อมวลชนในประเทศไทยว่า ได้พบภาพพระพุทธรูปปางนาคปรก ในหนังสือประมวลศิลปวัตถุ เพื่อประมูลขายของสถาบันโซธบี (Sotheby Institute) ในกรุงลอนดอน หน้า 52

          ความทราบถึงชาวอำเภอทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และกรมศิลปากรเพื่อให้ทางราชการติดตามทวงถามพระพุทธรูปที่หายไป ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน กรมศิลปากรได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาหาแนวทางติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลา


     ต่อมาหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษได้แจ้งให้ไทยทราบว่า มีผู้ประมูลพระพุทธรูปศิลาไปและถูกเคลื่อนย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาแล้วทนายความของผู้ครอบครองได้ติดต่อเข้ามาว่า ผู้ครอบครองไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปที่ได้มาจากการโจรกรรม แต่จะคืนให้ประเทศไทยโดยเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงิน สองแสนเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,200,000 บาท ในครั้งแรกทางรัฐบาลไทยพยายามจะติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลาโดยอาศัยกรณีที่คล้ายคลึงกันกับการหายของรูปปั้นเทพีในประเทศอิตาลี ที่สามารถติดตามทวงคืนได้โดยดำเนินการผ่านทางกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เมื่อคณะผู้แทนไทย นำโดยศาสตราจารย์อดุล วิเชียรเจริญ ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจเดินทางไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ทางหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา(เอฟ บี ไอ) ได้แจ้งให้ทราบว่า การติดตามเรื่องนี้มิใช่คดีอาญา จึงอยู่นอกเหนืออำนาจของเอฟบีไอ รวมถึงการยื่นฟ้องตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างสองประเทศก็ไม่สามารถกระทำได้

     ในที่สุดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 คณะกรรมการติดตามพระพุทธรูปศิลา นำโดยร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบพระพุทธรูปตามรอยตำหนิ และมอบค่าชดเชยรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายเป็นจำนวนเงินสองแสนหนึ่งพันเหรียญสหรัฐ ซึ่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการในเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบให้การสนับสนุนค่าชดเชยนำพระพุทธรูปล้ำค่าของไทยกลับคืนมา


           วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ขบวนอัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับถึงประเทศไทย ณ สนามบินดอนเมือง มีชาวทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัยได้เหมารถบัสจำนวนกว่า 10 คัน มารอรับองค์หลวงพ่อศิลา ภาพมหัศจรรย์ที่ปรากฏ คือ มีค้างคาวบินวนเวียนในสนามบินดอนเมือง ทั้งทั้งที่ความสว่างไสวของไฟสปอต์ไลท์ในสนามบินดอนเมืองนั้นไม่แพ้แสงแดดเวลากลางวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานหลายคนได้ยืนยันว่า เท่าที่ทำงานมาหลายสิบปีไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน


     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะดำเนินการอัญเชิญหลวงพ่อศิลา นำโดยร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ และผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าเฝ้าเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายหลวงพ่อศิลา เนื่องในปีกาญจนาภิเษก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 และรับพระราชทานคืน พร้อมทั้งอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดทุ่งเสลี่ยมดังเดิมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540


          ชาวทุ่งเสลี่ยมจึงได้จัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อศิลาเป็นประจำทุกปีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ในมณฑปวิหารวัดทุ่งเสลี่ยม อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย โดยมีประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางมากราบไหว้ด้วยความศรัทธาเป็นประจำตลอด



www.luangporsila.com