วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่สรวง ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร



 หลวงปู่สรวง ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร 

               เรื่องราวเกี่ยวกับ “หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เทวดาเล่นดิน” ที่มีหนังสือ นิตยสาร ตีพิมพ์กันนั้นก็มีหลายแบบหลายแนว   ครั้งนี้ก็ขอยกเรื่องเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่สรวง  อีกแง่มุมหนึ่งที่เรียบเรียง โดย ทิพยจักร นักเขียนที่มีความศรัทธาในบารมีธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายหลวงปู่เทพโลกอุดร สายอภิญญาและติดตามลงพื้นที่ค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง
ทิพยจักร ได้บันทึกไว้ว่า........พระอาจารย์เทียนชัย แห่งวัดเทพสรธรรมาราม  (  บายตึ๊กเจีย ) ปทุมธานี  ได้เล่าไว้ว่า    ก่อนหลวงปู่สรวงจะละสังขารปี 43 ท่านบอกกับคนใกล้ชิดว่าอีก 10 ปีความลับจะเปิดเผย 


           ครั้นพอครบ 10 ปี ในปี 2553 เป็นปีที่ พระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร) วัดปทุมวนาราม ปทุมวัน กรุงเทพ เชิญอาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย ขึ้นบรรยายธรรมบนศาลาพระราชศรัทธา (วัดปทุมวนาราม ปทุมวัน กรุงเทพฯ)
                   ในวาระนี้เองอาจารย์สมมรรคได้ขึ้นเล่าเรื่องราวของหลวงปู่สรวงที่ได้รับ ฟังมาจากหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มีศรัทธาญาติโยมรับฟังเรื่องราวของหลวงปู่สรวงในครั้งนั้นในครั้งนั้นเป็น จำนวนหลายร้อยคนเต็มศาลาพระราชศรัทธาไปหมด
      ท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มเปิดประวัติของหลวงปู่สรวงจากคำบอกเล่าของหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ดังนี้ว่า
               “ หลวงปู่สรวงเป็นชาวเขมรเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมัน องค์หลวงปู่สรวงท่านมีศักดิ์มีฐานันดรเป็นลูกชายคนโตครองตำแหน่งอุปราชผู้จะ ขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองขอมคนต่อไป    ท่านเป็นพี่ชายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 และแน่นอนว่าถ้าท่านอยู่ตามทางโลกท่านย่อมเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
               แต่องค์หลวงปู่สรวงมีจิตใจใผ่ในทางเนกขัมมะคือออกบวชมาแต่เยาว์วัยด้วยวาสนา ที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ และไม่ปรารถนาจะอยู่ตามทางโลกอีกต่อไปทั้งเล็งเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ตามทาง โลกโดยเฉพาะการขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นเป็นสิ่งที่มีภาระมากต้องตัดสินลง อาญา ต้องก่อกรรมทำบาปโดยใช่เหตุ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจออกบวช
          การออกบวชครั้งแรกของหลวงปู่สรวงนั้นท่านออกบวชเป็นฤาษี ท่านท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพรจนไปพบเจออาจารย์ที่เป็นมหาฤาษีผู้สำเร็จ อภิญญาสมบัติ มีอายุยืนยาวนับพันปี มีญาณสมาบัติกล้าแข็งมีฤทธิ์อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินฟ้า เดินไต่น้ำ ดำดิน เดินทะลุภูผากอไผ่หินผาศิลาแลงที่ทึบทั้งแท่งก็เดินทะลุได้ มีตาทิพย์หูทิพย์ ล่วงรู้ในสิ่งต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์
       หลวง ปู่สรวงร่ำเรียนวิชากับองค์มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์จนสำเร็จวิชาต่าง ๆ ครบถ้วน ทรงอภิญญามีอายุยืนยาวนานไม่จำกัดกาลเวลาได้ ที่สำคัญคือองค์หลวงปู่สรวงมีอภิญญาแก่กล้าทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ หลวงปู่สรวงเมื่อสำเร็จเป็นมหาโยคีผู้มีฤทธิ์อำนาจทางจิตอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านก็เที่ยวโปรดชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

      องค์หลวงปู่สรวงท่านจะประจำอยู่ตามอโรคยาศาลาโดยอโรคยาศาลานี้เป็นปราสาทหิน ขนาดเล็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานพยาบาล แก่ประชาชนชาวบ้านทั้งหลาย ที่ได้รับทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ องค์หลวงปู่สรวงท่านก็โปรดชาวบ้านด้วยเวทย์มนต์คาถา ตัวยาสมุนไพร พลังอำนาจจิต ทำให้ชาวบ้านพ้นจากทุกข์ของเจ็บไข้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
           ใน ช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที 1 ชนชาติขอมยังนับถือลัทธิพราหมณ์ บูชาเทพยดา และภูตผีเป็นสรณะ พระเจ้าแผ่นดินยอมให้สร้างปราสาทเพื่อบูชาเทพเจ้า การสร้างปราสาทต้องใช้แรงงานทั้งคนทั้งสัตว์จำนวนมากมาย นอกจากนี้การบูชาเทพเจ้าในสมัยนั้น ยังนิยมการบูชายัญ และพิธีกรรมอีกมากมาย ทัศนคติการใช้แรงงานคนในการสร้างปราสาทหินและการบูชายัญนั้นหลวงปู่สรวงไม่ เห็นด้วย เพราะเป็นการทรมานคน ทรมานสัตว์ เห็นแล้วเกิดความสังเวชใจ
           อย่างไรก็ตามหลวงปู่สรวงหรือมหาโยคีสรวงในครั้งนั้นก็ได้แต่เก็บความรู้สึก ไว้ภายใน และด้วยอำนาจฌานสมบัติที่ท่านสำเร็จสำเร็จแล้ว จึงทำให้ท่านสามารถมีชิวิตยืนยาวนับแต่รัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 จนมาถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 2,3,4,5,6และ 7
         ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี่เองความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาแบบมันตรยานกำลังก่อตัวและเจริญ อย่างสุงสุด ในช่วงต้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังนับถือลัทธิพราหมณ์ จนกระทั่งมหาโยคีสรวงได้ปลงใจว่าควรจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่มีการบำเพ็ญสมณธรรมและมีหลักธรรมอันลึกซึ้ง เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับลัทธิโยคีที่ตนนับถืออยู่ แต่ดีกว่าลัทธิพราหมณ์ตรงที่ไม่เน้นการสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการบูชายัญ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

             ดังนั้นองค์มหาโยคีสรวงจึงขอออกบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นองค์ประธานในการบวชและเมื่อมหาโยคีสรวงกลายมาเป็นหลวงปู่สรวงแล้วท่านก็ ชักชวนให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หันมานับถือพระพุทธศาสนา
            จนกระทั่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ทรงนับถือในคติพระโพธิสัตว์ตามแนวมันตรยานที่นับถือองค์อวโลกิเตศวร พระองค์มีความเชื่อว่าพระองค์คือองค์อวตารของพระอวโลกิเตศวรเจ้า
               ทั้ง นี้จึงเกิดแรงบันดาลใจให้พระองค์จำหลักหน้าพระองค์เองไว้ตามปรางค์ปราสาท ต่างๆ เรียกหน้าแบบ บายนจัดเป็นกลุ่มๆละ 9 กลุ่มละ 72 กลุ่มละ 81 ทุกกลุ่มเมื่อเอาเลขสองตัวบวกกันจะรวมแล้วได้ 9 ทุกครั้งไปการสร้างการจำหลักพระพักตร์ของพระองค์ไปทุก ๆ ทิศเป็นไปตามคติที่ว่า องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป้นผู้มองสรรพสัตว์และเงี่ยหูฟังสรรพสัตว์ ทั้งหลายด้วยปรารถนาจะสงเคราะห์ช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง โดยเฉพาะทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้นแล

            หลวงปุ่สรวงเมื่อบวชเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาแล้วก็เจริญกรรมฐานตามแนวทางของพระพุทธองค์จนบรรลุธรรมสูงสุด เป็น จตุปฏิสัมภิทาญาณแก่กล้าในอิทธิฤทธิ์ในเดชสูงสุด ดำเนินตนตามแนวทางพระโพธิสัตว์ คือ แม้บรรลุหลุดพ้นแล้วก็ยังไม่เข้านิพพานจะยังโปรดสรรพสัตว์ผู้ยากทั้งหลาย ดูแลพระพุทธศาสนาต่อไปก่อน อีกนานเท่าไรไม่มีกำหนดแล้วแต่ความปรารถนาขององค์หลวงปู่สรวงท่านเอง
        หลวงปู่สรวงมีชีวิตอยู่อย่างไร้กาลเวลาไม่มีกำหนดเวลาถึงความสิ้นสุด ท่านชำนาญในการเข้านิโรธ เข้าสมบัติ 8 ถอดจิตชำนาญในมโนมยิทธิการแสดงฤทธิ์ทางใจ ชำนาญในกสิณอภิญญา ควบคุมบังคับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด สามารถเนรมิตวัตถุ  สามารถเรียกของจากอีกที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่งได้ สามารถชนะแรงโน้มถ่วงของโลก ชนะกาลเวลา มีความเป็นอิสระจากพันธนาการทุกชนิด ชนะกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกวัตถุทุกประการ นี่คืออภิญญาส่วนหนึ่งอันยกตัวอย่างมาน้อยนิดในองค์พระหลวงปู่สรวงมหามุนี   ดาบสผู้ทรงอิทธิ์ฤทธิ์บุญฤทธิ์เหนือโลกเหนือวิลัยแห่งปถุชนคนธรรมดา
                 หากจะนับอายุของหลวงปู่สรวงตั้งแต่เกิดมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน จนมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุท่านก็นับพันปีแล้ว และหากนับช่วงระยะเวลาจากยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จนถึงปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่า 1,200 ปี
                       ลองคำนวณดูแล้วอายุของท่านก็ยาวนานนับพันปี เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่หลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิงถ่ายทอดเอาไว้
               อาจารย์สมมรรค กั๊วพิศมัย  เคยได้ศึกษาธรรมกับหลวงปู่สรวงและหลวงปู่ก็เมตตามาเยี่ยมและพำนักที่สถาปฏิบัติธรรมของอาจารย์สมมรรคที่เชิงเขากระโดง บุรีรัมย์  อาจารย์สมมรรคได้เก็บรักษาเส้นเกษาและจีวรที่หลวงปู่สรวงมอบให้  และในปี พ.ศ.2553 อาจารย์สมมรรค ได้นำเส้นเกษาและจีวรของหลวงปู่สรวงถวายพระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร)เพื่อจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่สรวง 2 องค์ คือองค์ยืนสะพายย่าม  และ องค์นั่งบริกรรม


               ปัจจุบันรูปเหมือนหลวงปู่สรวง  องค์ยืนประดิษฐานที่สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนามราม ( ศาลาเดียวกับหลวงปู่เทพโลกอุดร )  สำหรับองค์นั่งบริกรรมประดิษฐานที่ศาลาเอนกประสงค์ ( ติดกับศาลาพระราชศรัทธา)  ทั้งสององค์นี้มีผู้ไปกราบไหว้บูชาอธิษฐานขอพรเพิ่มมากขึ้นทุกวัน  ด้วยแรงศรัทธา ด้วยประสบการณ์ที่พบประสบจริง

               ในโอกาสจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่สรวงโดยพระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคุณถาวร) เป็นผู้นำศรัทธาครั้งนี้ มูลนิธิถาวรจิตตถาวโรฯ ได้จัดสร้างวัตถุมงคล หลวงปู่สรวง รุ่น ข้าวน้ำดี มั่งมีถาวร   ประกอบด้วยเหรียญ  ล๊อคเก็ต รูปหล่อรูปเหมือนหลวงปู่สรวง 




 ท่านที่สนใจเชิญบูชาได้ที่ฝ่ายวัตถุมงคลมูลนิธิถาวรจิตตถาวโรฯ  วัดปทุมวนาราม ถนนพระราม1 ปทุมวัน  กรุงเทพฯ
ขอเชิญชวนทั้งทั้งหลายไปกราบขอพรขอบารมีองค์หลวงปู่สรวงได้ทุกวัน.....สวรรค์มีตา เทวดาเดินดิน  

                                        วัตถุมงคลหลวงปุ่สรวง รุ่นต่าง ๆ ดูได้ที่   www.amulettv.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น