วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รวมวัตถุมงคลสายยาแดง พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร

รวมวัตถุมงคลสายยาแดง พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร

ท่านที่ติดตามนิตยสารพระเครื่องพุทะคุณในรอบปี 2557 ที่ผ่านมาจะสังเกตุว่ามีเรื่องเกี่ยวกับบรมครูพ่อครูทั้งสิบ ( สิทธามหาเวทย์ )แห่งเมืองม่าน (หรือเมียนมาร์ในปัจจุบัน ) รวมทั้งเรื่องวิชาสายยาแดง ส่วยหยิ่นจ่อ ปะถะมะสิทธิ เขาโปปามหาคีรีศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

หลายท่านได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลสายนี้  ดังนั้นเพื่อความชัดเจน จึงจะรวบรวมวัตถุมงคลสายยาแดงที่จะแนะนำให้ทราบโดยเริ่มจากวัตถุมงคลสายยาแดง จัดสร้างและปลุกเสกโดยพระอาจารย์ภูไทย ปภากโร วัดเขาแก้วชัยมงคล ต.เขาแก้วศรีสมบูรณ์ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย  พระเกจิอาจารย์ที่ศึกษาสืบสานศาสตร์โบราณพระเวทล้านนาจนเชี่ยวชาญเป็นที่ประจักษ์
พร้อมกันนี้ท่านยังได้ทุ่มเทเวลาศึกษาเวทวิทยาคมสายยาแดง ส่วยหยิ่นจ่อ จากครูอาจารย์ อาทิ จากอาจารย์หย่วน   พ่อครูชาวไทยใหญ่แห่งอำเภอแม่สอด ผู้เชี่ยวชาญการสักยันต์สายยาแดง ส่วยหยิ่นจ่อ
พระอาจารย์ภูไทย สนใจใส่ใจในการศึกษาพระเวทและยันต์สายยาแดง เมื่อมีโอกาสท่านจะเดินทางไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สืบค้นตำหรับตำรา อาทิที่มัณฑะเลย์  พุกาม เขาโปปา  ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี เมียวดี ฯลฯ และศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ในสายยาแดง
วัตถุมงคลสายยาแดงที่พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร จัดสร้างมีดังนี้

1.ผ้ายันต์บรมครูส่วยหยิ่นจ่อ จัดเป็นวัตถุมงคลสายยาแดง ส่วยหยิ่นจ่อ ลำดับแรกที่ท่านสร้างและนำขึ้นไปปลุกเสกที่ยอดเขาโปปา มหาคีรีศักดิ์สิทธิ์ ที่ห้องพ่อครูโพมินข่อง  ( บูชาผืนละ 199 บาท)

2.ตะกรุดปิยะสิทธิประสิทธิโชค  จารยันต์สายยาแดง พอกมวลสารผสมว่านไก่แดง ปลุกเสกเสาร์5 ปี 2557 (บูชา 300 บาท)

3.มีดหมอพลิกดวง ปราบมาร  ใบมีดทำจากผานไถ อุปเท่ห์พลิกดินพลิกดวง ใบมีด 7 นิ้ว จารยันต์สายยาแดง ด้ามมีดทำจากไม้มะขามฟ้าผ่า อุปเท่ห์ผู้คนเกรงขาม ปลุกเสกเสาร์ 5 ปี 2557 (บูชา 1,999 บาท)

4.ล๊อคเก็ตบรมครูพู่พู่อ่อง ด้านพลังบรรจุมวลสารและยันต์สายยาแดง นำไปปลุกเสกที่ลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง  ย่างกุ้ง เมียนมาร์ ณ วิหารด้านทิศตะวันออกซึ่งมีพระพุทธรูปที่บรมครูพู่พู่อ่องสร้างประดิษฐานอยู่ ( บูชา 499 บาท)

5. แหวนเงินสุโขทัย ยันต์ สะตะปะวะ อันเป็นยันต์สุดยอดความศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันว่าบรมครูพู่พู่อ่องเคยเหาะขึ้นไปจารอักขระนี้ที่ยอดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ปลุกเสกที่ลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง  ย่างกุ้ง เมียนมาร์ เช่นกัน (บูชา 500 บาท )

6.ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ อู่ซาหม่า เนื้อตะกั่ว แรกเริ่มเดิมทีสร้างเพื่อแจกผู้ร่วมบุญทอดกฐิน พ.ศ.2557 ต่อมามีผู้นำไปใช้มีประสบการณ์ดี ๆ ดัง ๆ กันหลายราย จนเป็นที่เสาะแสวงหากันเป็นอย่างยิ่ง

7.ผ้ายันต์แก้วสารพัดนึก สายยาแดง ส่วยหยิ่นจ่อ  ขนาด 15 x 21 นิ้ว พิมพ์บนผ้ากำมะหยี่ เป็นยันต์มหามงคล อธิษฐานขอพรได้ดั่งแก้วสารพัดนึก เพิ่งจัดสร้างในวาระส่งท้าปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2558 ( บูชาผืนละ 399 บาท)

วัตถุมงคลสายยาแดงที่จัดสร้างโดยพระอาจารย์ภูไทย ปภากโร ติดต่อที่วัดเขาแก้วชัยมงคล โทร 085-40000-101และที่ สุริยันจันทรา 02-3992000 / 083-073-7515
รีบหาไว้เป็นเจ้าของ  รับรอง ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน

เยือนนครธม ชมปราสาทบายน

เส้นทางแห่งศรัทธา  
เยือนนครธม   ชมปราสาทบายน

    เส้นทางแห่งศรัทธาครั้งนี้ยังพาท่านท่องเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เพื่อนใกล้ชิด มิตรใกล้บ้านของเรา   เมื่อมาเสียมเรียบก็ต้องนึกถึง นครวัด นครธม    คราวนี้เราจะนำท่านเจาะเวลาหาอดีตสู่ “นครธม” หรือที่ฝรั่งอั่งม้อเรียกว่า “อังกอร์ธม” (Angkor Thom)


นครธม  มีความหมายว่าเมืองใหญ่ ( ธม แปลว่า ใหญ่ ) ผู้ที่เดินทางมาเยี่ยมชมเมืองพระนครจะต้องผ่านช่องประตูทางเข้าด้านทิศใต้จะได้พบกับความอลังการของหินทรายสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ประดิษฐานตระหง่านเหนือประตูทางเข้าเป็นจตุรพักตร์  ทอดพระเนตรลงมายังที่ต่ำประหนึ่งคอยดูแลสรรพสัตว์และรอยยิ้มที่เรียกว่า “ยิ้มแบบบายน “ ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณาแห่งของพระโพธิสัตว์ ทำให้ผู้ที่พบเห็นจะตราตรึงในความทรงจำมิอาจลืมเลือนไปได้  ๆ

  สองฝั่งของสะพานที่ทอดข้ามคูเมืองสู่เมืองพระนคร ด้านซ้ายเป็นศิลาทรายสลักเป็นรูปเหล่าเทวดากำลังออกแรงยื้อยุดฉุดลำตัวพญานาค ส่วนด้านขวาเป็นบรรดายักษ์กำลังฉุดดึงลำตัวพญานาคอยู่เช่นกัน  ทั้งนี้เนื่องด้วยตำนานกวนเกษียรสมุทร  
ปราสาทบายน ( Bayon ) เป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับว่าเป็นการอภิวัฒน์สถาปัตยกรรมของการสร้างปราสาทที่มีลักษณะแตกต่างจากการสร้างรูปแบบเดิม ๆ โดยสิ้นเชิง   ทั้งนี้เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา นิกายมหายานอย่างยิ่ง ต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ผ่านมาที่ล้วนแต่นับถือศาสนาพราหมณ์ที่สืบทอดมานาน
ปราสาทบายนทั้ง 54 ปรางค์สลักเป็นภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ ตามคติแห่งพระโพธิสัตว์ที่ว่า..เพื่อสอดส่องดูแลทุกข์สุขของเหล่าบรรดาศาสนิกชนของพระองค์ให้อยู่อาศัยด้วยความร่มเย็นเป็นสุข    รอยยิ้มที่แลดูสุขุมลุ่มลึกนี้เรียกว่ายิ้มแบบบายนเปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา   พระพักตร์เหล่านั้นหากนับรวมกัน 54 ปรางค์ปราสาท     ปรางค์ปราสาทละ 4 พระพักตร์ จะมีใบพระพักตร์พระอวโลกิเตศวรรวม 216 พระพักตร์ แต่ปัจจุบันได้สึกกร่อนพังทลายลงไปหลาย พระพักตร์

                 นายปิแอร์ โลตี นักสำรวจประวัติศาสตร์โบราณคดีที่มีชื่อเสียง ได้บันทึกไว้ว่า  
 “ ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งทำให้ ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ และทันทีบันได เลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดเย็นแข็งขึ้นมา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่กำลังมองลงมายังข้าพเจ้า แล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่ง แล้วก็รอยยิ้มที่สาม แล้วก็รอยยิ้มที่ห้า แล้วก็ที่สิบ ปรากฏจากทั่วสารทิศ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทาง “
ปราสาทบายน  นครธม  คือนฤมิตกรรมที่สร้างขึ้นด้วยความเชื่อ ความเลื่อมใส
บนเส้นทางแห่งศรัทธาอย่างจริงแท้แน่นอน


ปราสาทสีชมพู นามว่า...บันทายศรี

เส้นทางแห่งศรัทธา  โดย สุริยันจันทรา
ปราสาทสีชมพู นามว่า...บันทายศรี
เส้นทางแห่งศรัทธา ฉบับนี้ถือว่าเป็นวาระพิเศษในการส่งท้ายปีเก่า เตรียมต้อนรับปีใหม่และร่วมต้อบรับ AEC นำไปทัวร์ประเทศเพื่อนบ้าน  หรือที่ยุคนี้เขาให้เรียกว่า “เพื่อนใกล้ชิด มิตรใกล้บ้าน” นั้นคือกัมพูชา หรือที่รู้จักกันในนามเขมรนั่นเอง
เป้าหมายที่จะไปคือ “เสียมเรียม” การเดินทางก็สะดวกมาก  จากกรุงเทพฯออกมอเตอร์เวย์ผ่านฉะเชิงเทรา ไปสระแก้วแล้วไปสุดแดนที่อรัญประเทศ  จากนั้นก็นั่งรถไปเสียมเรียม  ถนนหนทางลาดยางตลอด
ผู้คนทั่วโลกรู้จักเสียมเรียบ กัมพูชา ในฐานะเมืองที่ตั้งนครวัด นครธม  แต่ปราสาทแห่งแรกที่เราจะนำท่านไปเยือนนี้เป็นต้องนั่งรถจากเสียมเรียบไปอีก 30 ก.ม. ปราสาทนี้แม้ไม่ใหญ่โตอลังการแบบนครวัด แต่ก็ประทับใจแบบสุด ๆ มีมุมกล้องให้เลือกถ่ายได้มากมาย นี่และครับ.......ปราสาทบันทายศรี







ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทหินที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในประเทศกัมพูชา มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 1,000 ปี แต่ลวดลายก็ยังมีความคมชัด เหมือนกับสร้างเสร็จใหม่ ๆ
ปราสาทบันทายศรีหรือเรียกตามสำเนียงเขมรว่า บันเตียไสร หมายถึง ปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมเรียบในบริเวณที่เรียกว่า อิศวรปุระ หรือเมืองของพระอิศวร
ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า "ตรีภูวนมเหศวร" หรือ "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม" ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487 - 1511) และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1554)
ผ่านประตูเข้าไปจะเห็นปราสาทองค์แรก สร้างอยู่เหนือฐานเดียวกันซึ่งสูง 90 เซนติเมตร ขนาบด้วยบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาตำราหรือวัตถุที่ใช้ในพิธีเคารพบูชา มีประตูเข้าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซุ้มประตูหรือโคปุระนี้ ประดิษฐานปฏิมากรรมด้วยลวดลายที่งามวิจิตรอ่อนช้อย ลวดลายประดับที่ปราสาทบันทายศรี สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาหรือนางอัปสรา ก็เต็มไปด้วยความสง่างามและมีชีวิตจิตใจ
นี่คือนฤมิตกรรมบนพื้นพิภพที่มิอาจหาคำบรรยายพรรณาได้ครบถ้วน นอกจากมาดื่มด่ำสุนทรียภาพด้วยโสตจักษุของท่านเอง...ปราสาทสีชมพู นามว่า...บันทายศรี

(ขอขอบคูณ ข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ***  ภาพโดย สุริยันจันทรา )

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลางกรุง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลางกรุง
ณ สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม
กลางป่าคอนกรีตกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่แออัดด้วยตึกสูงอาคารสำนักงานโดยเฉพาะในย่านปทุมวัน ราชประสงค์   ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า แหล่งธุรกิจ สถานบันเทิง ปักหลักเรียงรายกันสลับซับซ้อนบวกกับสภาพการจราจรที่แออัดด้วยยานพาหนะ ทั้งรถส่วนบุคคล รถสาธารณะ รถแท๊กซี่ รถไฟฟ้า ฯลฯ
           แต่ไม่น่าเชื่อว่ายังมีพื้นที่สีเขียวที่สงบร่มรื่นด้วยแมกไม้ธรรมชาติ เป็นสัปปายะสถานอยู่ในย่านนี้  คือที่สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร  ถนนพระราม 1 ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ปทุมวัน  (ระหว่างสยามพารากอนกับเซ็นทรัลเวิร์ล)

พระเทพวิมลญาณ ( หลวงพ่อถาวร  จิตตถาวโร ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ได้สนองพระราชดำริโดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ใช้พื้นที่ด้านติดกับวัดปทุมวนาราม อันเป็นที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดสร้างศาลาพระราชศรัทธาและสวนป่าฯ เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรมและสาธารณกุศล
             สำหรับที่มาของศาลาพระราชศรัทธาธรรม มีดังนี้
.........พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน เป็นการส่วนพระองค์ ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหารเมื่อวันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2533 ในโอกาสนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสถานที่อบรมและปฏิบัติธรรมชั่วคราว ซึ่งพระครูปลัดสัมพิพัฒนเมธาจารย์ (ถาวร จิตฺตถาวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามฯ เป็นผู้ดำเนินการ มีพระราชปรารถว่าสมควรสร้างอาคารอันเป็นถาวรวัตถุขึ้นเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ใช้ศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยมีสัปปายะตามสมควร
        บรรดาศิษยานุศิษย์ของพระครูปลัดสัมพิพัฒนเมธาจารย์ (ถาวร จิตฺตถาวโร)
และพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาจึงร่วมกัน สนองพระราชดำริ โดยจัดตั้ง "มูลนิธิศาลาพระราชศรัทธา" ขึ้น รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศและได้สร้างพระพุทธรูปบูชา (พระเสริมจำลอง)
.......แล้วนำเงินที่ได้จากการบริจาค และการบูชาวัตถุมงคลมาดำเนินการก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมจนกระทั่งแล้วเสร็จโดยให้ชื่อศาลานี้ว่า "ศาลาพระราชศรัทธา"
           ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดศาลาพระราชศรัทธาในวันพฤหัสบดี ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2536
ศาลาพระราชศรัทธา เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม  โดยมี พระเทพวิมลญาณ ( หลวงพ่อถาวร  จิตตถาวโร ) เป็นประธาน เผยแผ่ธรรมะ มีการอบรมเป็นประจำทุกวัน ช่วงเช้า  บ่าย  และค่ำ  สำหรับในวันอาทิตย์จักได้อาราธนาพระวิปัสสนาจารย์ พระเถรานุเถระมาแสดงธรรมช่วงเวลา 13.00 น
ถัดจากศาลาพระราชศรัทธาเข้าไปด้านในเป็นสวนป่าร่มรื่นด้วยแมกไม้ใหญ่กลางเล็ก
บรรยากาศสงบเป็นสัปปายะเหมาะแก่การพักผ่อนทางจิตและเติมพลังชีวิตด้วยพุทธธรรม
             ณ สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา แห่งนี้มีความสงบเย็นเป็นธรรมอุทธยานกลางกรุง และเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหาธัมมจักโกวาท ( องค์จำลอง)  และรูปเหมือนพระอมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) หลวงปู่ทวด  และพระสุปฏิปันโน อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล  หลวงปู่โฮม โสภโณ ฯลฯ




ที่เป็นไฮไลท์ที่อยากแนะนำให้ไปกราบไหว้ขอพรกันคือ
 “องค์พระเทวราชโพธิ์สัตว์  อวโลกิเตศวร    จตุคามรามเทพ” ปางมหาราชลีลาประทานพร  ขนาดสูง สามเมตรเก้าเซนติเมตร  และปางอวโลกิเตศวร หกพระกร ( จากต้นแบบมหาเจดีย์ศรีวิชัย บุโรพุทโธ)  และพระเทวราชโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ ประทัพยืนอีก 2 องค์ซึ่งล้วนมีความสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
บริเวณใกล้ ๆ กันประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดร  หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และรูปเหมือน หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ขนาดเท่าองค์จริง ที่สำคัญคือได้นำเส้นเกษาจริงของหลวงปู่สรวงและผ้าจีวรของหลวงปู่สรวงมาประกอบการจัดสร้าง


               จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผู้ที่เคยมาสักการะบูชากราบไหว้พระพุทธรูปและรูปเหมือนพระมหาเถระครูอาจารย์ในสวนป่าศาลาพระราชศรัทธา ต่างประจักษ์ในผลานิสงส์ที่เกิดบุญบารมี  ทั้งผู้ที่มาขอพร ขอโชคลาภ หน้าที่การงาน  โดยเฉพาะกับองค์หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดินที่แม้แต่เด็กอนุบาล เคยเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า.... “ หลวงปู่ก้มมาเป่าหัวให้....... ”
             เรื่องบนบานนั้นจะสังเกตุว่ามีพวงมาลัย  ว่าวและรูปปั้นไก่ชนขนาดต่าง ๆ ที่ผู้ศรัทธานำมาถวายไม่ขาด

            ที่พลาดไม่ได้ที่จะได้ไหว้ขอพรคือเมื่อเข้าประตูสวนป่าจะเห็นท้าวเวสสุวรรณยืนตะหง่านอยู่  นี่แหละทีเด็ดละขอบอก   จะเห็นพวงมาลัยท่วมท้นก็คอนเฟิร์มอยู่แล้ว
          หากท่านสนใจด้านวัตถุมงคลของมูลนิธิถาวรจิตตถาวโรฯก็สามารถติดต่อบูชาได้บริเวณด้านหน้าศาลาพระราชศรัทธา
             สวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม  เปิดให้สักการะทุกวันตั้งแต่เวลา  06.30-20.00 น  ทุกเช้าเวลา 07.00 น พระเทพวิมลญาณ ( หลวงพ่อถาวร  จิตตถาวโร ) และพระภิกษุสามเณร จะออกบิณฑบาตร จากนั้นท่านก็จะเมตตาแสดงธรรมนำเจริญจิตภาวนาบนศาลาพระราชศรัทธาเป็นประจำ
การเดินทางมายังสวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม  สะดวกที่สุดด้วยรถเมล์ รถไฟฟ้า โดยมาลงที่สถานีสยามฯ แล้วเดินมาทางแยกราชประสงค์เข้าประตูวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เดินชิดขวามายังศาลาพระราชศรัทธา
             ขอเชิญท่านมาอิ่มบุญอิ่มใจในธรรมชาติและบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต
ให้เจริญรุ่งเรืองวัฒนา “ถาวร”ตลอดไป



วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พระผ่องต่ออู ทะเลสาบอินเล


พระผ่องต่ออู  คือ “พระบัวเข็ม” ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากไม้หอม ส่วนทองคำที่หุ้มองค์พระนั้น เป็นทองแผ่นที่ผู้ศรัทธานำมาปิดทององค์พระติดต่อกันมานานหลายร้อยปี จนมองไม่เห็นรูปร่างขององค์พระจริง ๆ

ตามตำนานกล่าวว่าพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ถูกค้นพบที่ถ้ำแห่งหนึ่งในปี 1359 จึงได้มีการอัญเชิญมาให้ผู้คนกราบไหว้บูชาหลายแห่ง .. ต่อมาเจ้าชายองค์หนึ่งได้สร้างวัดแห่งนี้เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบัวเข็มทั้ง 5 มาจนถึงทุกวันนี้

แต่ยังมีตำนานที่เป็นเหมือนอภินิหาญขององค์พระ คือ มีปีหนึ่งน้ำท่วมใหญ่ที่ทะเลสาบอินเล จนพระจมหายไป ชาวบ้านช่วยกันงมหากลับมาได้ 4 องค์ ส่วนอีกองค์หนึ่งหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนอ่อนล้า และนำพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์กลับมาที่วัดก่อน … แต่พอมาถึงวัด ชาวบ้านได้เจอพระบัวเข็มองค์ที่หาไม่พบ ประดิษฐานอยู่บนแท่นบนบุษบก โดยองค์พระยังมีตะไคร่น้ำติดมาด้วย ตั้งแต่นั้นมา ชาวอินทาและชาวไทใหญ่ ก็ยิ่งทวีความเคารพนับถือพระบัวเข็ม ว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง สามารถปกป้องอันตรายต่าง ๆได้

.............ทุกปีในเดือนตุลาคมในช่วงออกพรรษา จะมีงานยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอินทา ในทะเลสาบอินเล นั่นคือ จะมีการอัญเชิญพระบัวเข็มลงเรือการเวก ซึ่งเป็นนกในตำนานของชาวพม่า แล้วแห่ไปรอบๆทะเลสาบ โดยมีเรือร่วมในริ้วขบวนที่สวยงามนับร้อยลำ รวมถึงการพายเรือด้วยเท้าลำละหลายสิบคน ขบวนแห่จะมีราว 15 วัน ไปตามวัดต่างๆ 15 แห่งรอบๆทะเลสาบ เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะ......ข้อมูลจาก wikimedia

เสน่หารามัญ เสน่ห์มอญโบราณ

เสน่หารามัญ เสน่ห์มอญโบราณ   ครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย

นักนิยมเครื่องรางของขลังประเภทแฟนพันธุ์แท้ต้องไม่พลาดที่จะต้องสะสม”ตะกรุด”  และถ้าจะว่าไปถึงตะกรุดเมตตามหาเสน่ห์ที่ลุ่มลึกในไสยเวทวิทยาคมแห่งอุษาคเนย์ก็ต้อง “ตะกรุดเสน่ห์มอญ” ที่บรรดาเกจิและฆราวาสขมังเวทย์ได้สร้างขึ้นในโอกาสและวาระต่าง ๆ
ที่จะนำเสนอในครั้งนี้ เป็นตะกรุด “เสน่หารามัญ หรือ เสน่ห์มอญ”ที่ไม่ธรรมดามีความเป็นมาน่าอัศจรรย์ จัดสร้างโดยครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่

จากคำบอกเล่าที่ได้สนทนากับครูบาฯ ท่านกล่าวว่า เมื่อปลายปีพ.ศ.2556 ท่านได้เดินทางไปเขาโปปา ที่อยู่ห่างจากเมืองพุกาม ประเทศเมียนมาร์ไปราว ๆ 50 กิโลเมตร เขาโปปา เป็นมหาคีรีศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่ามีความสำคัญดั่งเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล เป็นที่สถิตย์ของผู้สำเร็จ ผู้มากด้วยบารมีและนัตทั้ง 37 ตน   ที่สำคัญอีกประการคือ บนยอดเขาโปปาเคยเป็นที่พำนักของพ่อครูโพมินข่อง สิทธามหาเวท 1 ใน 10 ของพ่อครูผู้สำเร็จหรือผู้วิเศษแห่งเมืองม่าน

การขึ้นเขาโปปาจะต้องขึ้นบันใดลัดเลาะไปรวมทั้งหมด 777 ขั้น  เมื่อครูบาชัยมงคลท่านได้ขึ้นไปถึงยอดเขาท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบารมีครูบาอาจารย์ที่สถิตย์ ณ ที่นั้นขอสถานที่และขอโอกาสที่จะประกอบพิธีสักการะและปลุกเสกวัตถุมงคลที่นำขึ้นไปด้วย
สักครู่ครูบาชัยมงคลก็เดินนำไปยังสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของพ่อครูโพมินข่อง  ภายในมีรูปถ่ายและรูปปั้นขนาดต่าง ๆ ของพ่อครูโพมินข่องประดิษฐานอยู่รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ อาทิเตียงนอน
ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลสถานที่นั้นออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มช่วยจัดสถานที่ดูราวกับว่ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีคณะจากไทยจะมาประกอบพิธี
เมื่อจัดข้าวของเครื่องบูชาเรียบร้อยแล้วครูบาชัยมงคลก็เริ่มสาธยายมนต์พระเวทเป็นภาษามอญโบราณอย่างแคล่วคล่อง  ศาสนิกชนพม่าที่ขึ้นไปยอดเขาโปปาพากันมาดูพิธีกรรมเต็มไปหมด  พระคณาจารย์ที่ร่วมเดินทางไปมีหลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง ชลบุรี พระอาจารย์ภูไทย วัดเขาแก้ว ฯ  พระอาจารย์ฉลอง วัดยางเอน สุโขทัย

ครูบาชัยมงคลท่านเล่าว่าขณะประกอบพิธีอธิษฐานจิตนั้น ท่านน้อมสักการะครูบาอาจารย์ขอเมตตาประทานพระคาถาและยันต์สำคัญเพื่อจัดทำและปลุกเสกวัตถุมงคล
“ คาถาเสน่ห์มอญ 16 โสฬสพยางค์ ”  ที่ถือว่าเป็นสุดยอดวิชชาเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์อย่างเอกอุได้ประทับลงบนจิตแห่งความจำของครูบาชัยมงคล  ท่านกล่าวว่า “ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาให้เฉพาะมนต์บทนี้ซึ่งมีความสำคัญมาก เป็นเสน่ห์มอญโบราณ ”  และนี่คือที่มาของ “ตะกรุดเสน่ห์หารามัญ หรือ เสน่ห์มอญ” สร้างและเสกโดยครูบาชัยมงคล  
การจัดสร้างใช้แผ่นดีบุก (ทั้งดี ทั้งบุก) ขนาด 2.5 นิ้ว จารอักขระ “ คาถาเสน่ห์มอญ 16 โสฬสพยางค์ ” จากนั้นนำมาพอกด้วยผงเถาวัลย์หลงผสมผงสายเสน่ห์เมตตา  แล้วลงรักแท้ปิดทอง จารนอกจารในโดยครูบาชัยมงคล  ที่เป็นเอกลักษณ์คือทุกดอกร้อยด้วยเชือกป่านขวั้นเกลียว  ท่านว่าทุกอย่างต้องทำตามศาสตร์โบราณที่ครูบาอาจารย์ท่านประสิทธิไว้จึงจะได้ผล

อุปเท่ห์ของ”ตะกรุดเสน่หารามัญ หรือ เสน่ห์มอญ” คือ เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ คนเห็นคนรักคนนิยม สมรักสมหวัง แม้จะทำการค้าการขายก็ได้ผลดี  เสริมดวงให้โชติช่วงชัชวาล บูชาดอกละ 500 บาท
วัตถุมงคลที่ครูบาชัยมงคลนำขึ้นไปปลุกเสกที่ยอดเขาโปปาในครั้งนี้ มีอาทิ สีสะแลงแงง พิมพ์ห้าเหลี่ยม เนื้อผงเจิมยาแดง ( บูชา 499 บาท )


              และผ้ายันต์มหาโชคมหาลาภ (พระสีวลี พระอุปคุต พระสังกัจายน์  พญาเขาคำ พญาหงส์ทอง ฯลฯ รวมในผืนเดียว บูชา 200 บาท )
หากท่านสนใจติดต่อได้ที่ วัดไทรย้อย  ต.ไทรย้อย  อ.เด่นชัย  จ.แพร่  โทร  054-661063  /  081-1796-001  และที่ สำนักพระเครื่อง สุริยันจันทรา สุขุมวิท 101/1 บางนา กทม โทร 02-399-2000  มือถือ  083-073-7515 : 09-4930-9355
อนึ่งครูบาชัยมงคลท่านยังได้จัดสร้าง ล๊อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง  2 แบบด้วยกันคือ พิมพ์ขี่ช้างมหาอำนาจ  และ พิมพ์มีกินตลอดชาติเขาโปปา  บูชา 500 บาท อัดกรอบพลาสติกกันน้ำเลี่ยมไมคอนสวยงาม  ล๊อกเก็ตชุดนี้มีประสพการณ์เป็นที่ประจักษ์ในพลานุภาพอันเยี่ยมยอด
ของดีที่พิสูจน์ได้  ไม่ได้ท้า  แต่กล้าให้พิสูจน์

พ่อครูโพมินข่อง หนึ่งในผู้บรรลุอภิญญาฤทธิ์

          

          เรื่องราวของพ่อครูโพมินข่องเป็นที่นับถือในหมู่ชาวไทยใหญ่ พม่าและมอญ และนับเอาพ่อครูโพมินข่องเป็นหนึ่งในสิบของพ่อครูทั้ง ๑๐ แห่งสายวิชา
               รายนามพ่อครูทั้ง ๑๐ นั้นมีดังนี้คือ ๑ พ่อครูพู่พู่อ่อง ๒ โพมินข่อง ๓ พ่อครูบูดออี ๔ พ่อครูบูดอบิวหรือสะยาปิ้ว ๕ พ่อครูบูดอปุ้ย ๖ พ่อครูอุเมี๊ยะขิ่น ๗ พ่อครูสัจจะยามิน ๘ พระมหาโอสถวิชา   ๙  เส่วิชา ๑๐ ต่อวิชา
               ทั้ง ๑๐ ท่านนับเป็นยอดบรมครูแห่งการสัก  รวมไปถึงวิชาการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสำเร็จความเป็นอมตะ ธรรมของพ่อครุทั้ง ๑๐ นั้นล้ำลึกพิสดาร สมบูรณ์ด้วยธรรมและอิทธิฤทธิ์ พลังเหนือโลก ที่สามัญชนคนธรรมดายากจะเข้าถึง ตามคติความเชื่อนั้นแม้ผู้ใดมีบารมีของพ่อครูท่านใดเพียงท่านเดียวสถิตย์อยู่กับตัว ด้วยลายสักยันต์ยาแดงก็ดี หรือด้วยคาถาที่ท่องจำไว้ในใจก็ดีหรือเพียงระลึกถึงท่านด้วยใจเคารพศรัทธาอันมั่นคงก็ดี คนผู้นั้นไม่มีโดนทำร้ายด้วยคุณไสย คุณคน หรือแม้แต่พิษร้าย สัตว์ร้ายต่างๆก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้
               พ่อครูโพมินข่อง คือหนึ่งในผู้บรรลุอภิญญาฤทธิ์แห่งเมืองพุกาม มีผู้คนบูชาท่านมากมาย ขนาดที่เขาโปปาอันเป็นสิงสถิตของมังมหาคีรีนัต ยังคงมีห้องของท่านซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของท่านปรากฏไว้บนเขาโปปา เพื่อให้คนได้มีโอกาสไปสักการะ ไประลึกถึงอยู่เป็นประจำ

               รูปของพ่อครูโพมินข่อง มักเห็นในรูปของครูที่ปล่อยผมสยาย นั่งไขว้เท้าในท่าขัดสมาธิ และที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือ ท่านมักถือถ้วยน้ำชาในท่ากำลังจิบอยู่เสมอ
               ในบรรดาครูทั้ง ๑๐ นั้นเป็นที่เชื่อกันว่า มีอย่างน้อย ๒ ท่านที่มีชีวิตเป็นอมตะ คือพ่อครูพู่พู่อ่อง และพ่อครูโพมินข่อง กล่าวกันว่าพ่อครูพู่พู่อ่อง ท่านใช้วิธีฝึกวิชาไปตามขั้นจนสำเร็จ ส่วนพ่อครูโพมินข่องใช้เคล็ดฝึกวิชาย้อนกลับ หมายความว่าพ่อครูพู่พู่อ่องนั้นฝึกตามลำดับจากขั้นวิชา ๑ ๒ ๓ ๔ ไปจนสำเร็จขั้นสูงสุด ส่วนพ่อครูโพมินข่องนั้นเมื่อเรียนวิชาท่านเริ่มจากวิชาที่ยากที่สุดก่อนและไล่ไปจนถึงวิชาขั้นพื้นฐาน ทั้งสองท่านสำเร็จแล้วอธิษฐานรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนา มีชีวิตยืนยาวเป็นกัปล์ รอรับเสด็จพระศรีอาริยะเมตรไตรย เมื่อฟังธรรมจากพระองค์จิตก็จะบรรลุสู่นิพพานธรรมและดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในทันที
               การสำเร็จวิชาของท่านพู่พู่อ่องและโพมินข่องนั้น คือสำเร็จทั้งด้านสมาธิจิต คือการเข้าฌานสมาบัติ กสิณ การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ จนเข้าอรูปฌานได้ การสำเร็จพระเวทย์คือการท่องมนตราและการตั้งพิธี การสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งปรอทสำเร็จและเหล็กไหลวิเศษ รวมทั้งการปรุงยาอมตะจากสมุนไพรที่หาได้จากเขาโปปา ด้วยความสามารถความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นคุณวิเศษเหนือโลก ที่ทำให้ท่านทั้งสองสมบูรณ์ด้วยฤทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในปฐพี


               ทุกวันนี้ยังเชื่อกันว่า ทั้งพู่พู่อ่องและโพมินข่องบรมครูผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนั้นยังคงดำรงสังขารอยู่ ผู้ที่ระลึกถึงนามท่านจะได้รับพรอันวิเศษ ผู้ที่ภาวนาถึงท่านจะได้รับความเมตตา และทุกวันนี้ชาวพม่ายังเชื่อกันว่าท่านทั้งสองยังสถิตย์อยู่ในเขาโปปา ในส่วนของแดนทิพย์อันเป็นภพภูมิที่เหลื่อมซ้อนกับตัวเขาอย่างลี้ลับ คนธรรมดามองไปจะเห็นเพียงแท่งหินทึบ แต่ผู้บรรลุจตุถฌานหรือได้ฌาน ๔ จะสามารถเห็นถ้ำลี้ลับซ้อนอยู่ภายใน อันเป็นที่สถิตย์ของเหล่าบรมครูทั้งหลายผู้เป็นอมตะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

สิทธามหาเวทย์ ตำนานผู้สำเร็จและพ่อครูทั้งสิบ

ทดสอบของเชิญครูกับล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง โดยครูบาชัยมงคล

บรมครู พ่อครู ปะฐะมะสิทธิ สัมภาษณ์ ครูบาชัยมงคล

ไหว้ครู สายยาแดง (ส่วยหยิ่นจ่อ) สักยาแดง

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พ่อครูโพมินข่อง สิทธาผู้สำเร็จแห่งเขาโปปา

พ่อครูโพมินข่อง สิทธาผู้สำเร็จแห่งเขาโปปา โดย ทิพยจักร

ตีพิมพ์ในนิตยสารพุทธคุณ กันยายน 2557


                เรื่องราวตำนานของพ่อครูทั้ง ๑๐ ของเมืองม่านหรือพม่า (ปัจจุบันเรียกอย่างเป็นทางการว่า”เมียนมาร์”) นั้นหลายคนให้ความสนใจมาก ทั้งนี้เพราะเรื่องราวของท่านลึกลับและมากด้วยปาฏิหาริย์ไม่แพ้เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรของไทยเราเลย ทุกวันนี้ชาวพม่ายังเชื่อกันว่าพ่อครูทั้ง ๑๐ นั้นยังมีชีวิตอยู่และคอยทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนา และรักษาเมืองพม่าให้รอดปลอดภัยมาทุกยุคทุกสมัยอย่างน่าอัศจรรย์   เมื่อเกิดเหตุคราวคับขันอย่างไรแล้วท่านทั้ง ๑๐ ก็จะเนรมิตรกายออกจากป่ามาสู่เมืองเพื่อโปรดผู้ทุกข์ผู้ยากอยู่เสมอ

                ก่อนเข้าเรื่องของพ่อครูท่านต่อไป จะขอทำความเข้าใจเรื่อง”นัตเ” มืองม่านกันก่อนครับ คำว่านัต หมายถึงผี ครับ นัต ของพม่าที่บูชากันอยู่ทุกวันนี้ก็หมายถึงผีที่ทำหน้าที่คุ้มครองปกปักษ์รักษาบ้านเมือง โดยนัตนั้นแบ่งเป็นสองจำพวกคือ เทวดาอย่างหนึ่ง และผีตายไม่ปกติอย่างหนึ่ง นัตที่เป็นเทวดา ก็เช่นพระอินทร์ ครับ ส่วนนัตที่เป็นผีตายไม่ปกติ เช่นตายโหงนั้นมีหลายตน  ทำไมจึงเป็นผีตายโหง เรื่องนี้เพราะว่าผู้ที่ตายในการศึกสงครามประการหนึ่งถือว่าเป็นวีรบุรุษรักษาประเทศชาติสมควรยกให้เป็นผีเมือง อีกประการหนึ่งคือผู้ที่สิ้นด้วยโศกนาฏกรรมทั้งๆที่เป็นคนดีก็สมควรยกย่องให้เป็นผีบรรพบุรุษทำหน้าที่คอยคุ้มครองลูกหลานคนดีมีศีลธรรมเช่นกัน

                ดังนั้นผีนัต จึงเป็นผีที่มาจากนักรบ และมาจากคนดีแต่แล้วกลับตายจึงถูกยกย่องขึ้นเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า นัต นั่นเอง


                ในส่วนของพ่อครูทั้ง ๑๐ ถูกแยกออกจากนัต  เรียกว่า “สิทธา” หรือ “ผู้สำเร็จ”  มีฐานะสูงส่งกว่านัต ทั้งมีฤทธิ์ตบะเดชะสูงส่งกว่าสรรพวิญญาณทั้งหลาย อย่างเทียบเคียงกันไม่ได้เลย ดังว่ามานี้คงรู้ถึงความแตกต่างระหว่างนัตและสิทธาทั้ง ๑๐ หรือพ่อครูทั้ง ๑๐ แห่งเมืองม่านกันแล้ว ว่าแตกต่างกันอย่างไร
       
                หนึ่งในบรมครูที่คนม่าน(พม่า) นับถือที่สุดเคียงคู่กับการนับถือบรมครูพู่พู่อ่อง และมีคติวางรูปของท่านไว้คู่กันเสมอก็คือพ่อครูโพมินข่อง ตำนานของพ่อครูโพมินข่องนั้นเล่าไว้ว่า ท่านได้ร่ำเรียนวิชากายสิทธิ์ปะฐะสิทธิ อันเป็นตำราเล่มเดียวกันกับบรมครูพู่พู่อ่อง แต่การร่ำเรียนวิชาของท่านพิสดารนักคือท่านเรียนวิชาย้อนกลับ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่เรียนพิสดารเช่นนี้ได้ย่อมเป็นผู้มีบุญวาสนาเป็นอัจฉริยะบุคคลลงมากำเนิด เป็นผู้บำเพ็ญบารมีทางพระโพธิญาณมานับไม่ถ้วน มิเช่นนั้นแล้วไฉนเลยจึงสามารถเรียนวิชาย้อนทวนได้


                พ่อครูโพมินข่อง อาศัยการทานว่านยาและการเรียนวิชาแบบย้อนกลับหรือย้อนทวนวิชา จนกระทั่ง จิตเป็นทิพย์ กายเป็นทิพย์ วาจาศักดิ์สิทธิ์ บรรลุสมาบัติสูงสุดพร้อมด้วยอภิญญา ๕ ประการ สำเร็จวัชระกาย เนื้อตัวเป็นทิพย์ มีอำนาจวิเศษ  อาจบันดาลสิ่งต่างๆได้ตามปรารถนา ทั้งควบคุมธาตุทั้ง ๔ ได้อย่างพิสดารเด็ดขาดตายตัว อยู่บนโลกในฐานะคุรุเทพผู้วิเศษ ทำหน้าที่ประดุจพระโพธิสัตว์ท่องเที่ยวโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ

                บางตำนานกล่าวหรือเล่าต่อ ๆ กันมาไว้ว่าบรมครูพู่พู่อ่องและพ่อครูโพมินข่องต่างเคยทดสอบฝีมือกัน ปรากฏว่าไม่มีใครแพ้ใครชนะ เป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งคู่ บรมครูพู่พู่อ่องผู้เป็นยอดวิชาจึงยกให้พ่อครูโพมินข่องเสมอด้วยกับตน เป็นสหายธรรมอันรักกันยิ่ง และเป็นที่มาที่ทำให้คนเมืองม่านต่างวาดภาพหรือตั้งรูปเคารพของทั้งสององค์ไว้คู่กันเสมอ


                ปัจจุบันเชื่อว่าทั้งพ่อครูพู่พู่อ่องและพ่อครูโพมินข่อง ต่างเป็นผู้ได้กายวัชระเป็นอมตะไม่มีวันตาย ท่านทั้งสองจะมีอายุยืนยาวเท่าไหร่ก็ได้ตามปรารถนาแม้จะอยู่คู่ฟ้าคู่ดินก็สามารถ เพราะสำเร็จกายสิทธิ์ชั้นสูงสุด มีอายุยืนยาวประดุจเทพเจ้าเหล่าพระพรหมผู้เรืองฤทธิ์ ทั้งนี้พ่อครูทั้งสองต่างพำนักอยู่ที่ บุพเพวิหทวีป อันเป็นทวีปมงคลเป็นแดนลับแล โดยมีเขาโปปา มหาคีรีศักดิ์สิทธิ์ ใกล้เมืองพุกามเป็นทางเชื่อมมิติ ด้วยเหตุนี้ผู้ใดที่เข้าสมาธิฌาน ได้อุปจารสมาธิอาจนั่งทางในมองเข้าไปในเขาโปปา ก็อาจได้เห็นเหล่าบรมครูผู้เรืองฤทธิ์มีชีวิตเป็นอมตะได้อย่างน่าอัศจรรย์

                ในตำนานของโลกแห่งความลี้ลับทางฌานสมาบัตินั้น ผู้ที่มีฤทธิ์มีเดช มีตบะฌานอันสูงส่งจนสามารถมีอายุยืนยาวเป็นกัปล์ได้นั้น มีอยู่หลายท่าน เช่นเรื่องราวของมหามุนีศิวะบาบาหรือบาบาจีแห่งเขาหิมาลัย ท่านเป็นมหาโยคีที่มีอายุวัฒนะอยู่คู่ฟ้าดิน หรือเซียนทั้ง ๘ ของจีนก็เป็นผู้มีอายุวัฒนะเช่นกัน หรืออย่างเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเทพเจ้าแห่งเขาพนมกุเลนที่มีอายุยืนยาวกว่า ๕๐๐ ปี

ในไทยเราเองก็มีเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่มีอายุยืนยาวเป็นหลายพันปี นอกจากนี้ถ้าค้นคว้าในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาก็มีเรื่องราวของพระปิณโฑล ซึ่งมีอายุยืนยาวชั่วกัปล์ ท่านจะมีอายุจนกว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมสิ้นไป บัดนี้ท่านมีอายุได้ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ดำรงธาตุขันธ์ด้วยอำนาจอิทธิบาทฌานอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ริมสระอโนดาต อีกทั้งพระอุปคุตที่มีอายุยาวนาน ๒ พันกว่าปีจำพรรษาอยู่ภายในเวียงวังพญานาค

                เรื่องราวของท่านเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ตามคัมภีร์ในแต่ละศาสนา ทั้งนี้เรื่องราวของบรมครูพู่พู่อ่องและพ่อครูโพมินข่องทั้งพ่อครูอีกทั้ง ๘ ท่านในสายยาแดงหรือเรียกเต็มๆว่าสายปะฐะมะสิทธินั้นก็เป็นตำนานแห่งผู้มีอายุวัฒนะ ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติ และปรอทวิเศษกายสิทธิ์ การกินว่านยามหาวิเศษ จึงสำเร็จทำให้เนื้อตัวเป็นทิพย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ กาย วาจา จิตล้วนเป็นทิพย์เป็นอมตะ วิชาเช่นนี้สามารถทำให้ร่างกายเนื้อตัวเป็นประดุจคลื่นพลังงาน อยู่พ้นแรงโน้มถ่วงของโลกและสามารถอยู่ได้โดยพ้นปัจจัยต่างๆของโลก เป็นเสมือนเทพเจ้าที่อยู่ในโลกนี้

                ด้วยธรรมอันเร้นลับสูงส่งที่ท่านเหล่านี้บำเพ็ญจนเป็นธรรมอันเหนือโลก  จึงทำให้ท่านเป็นสิ่งเร้นลับที่ยากจะเข้าถึงโดยปุถุชนทั่วไป  แม้ท่านจะเข้ามาอยู่ปะปนกับเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายก็มีอาจรู้ได้ว่าท่านกำลังอยู่ใกล้เราแค่ไหน แม้สายตาของเราที่ว่าเห็นๆหลายสิ่งหลายอย่างภายใต้พระอาทิตย์ดวงนี้ แต่สายตาของเราก็ไม่อาจเห็นท่านเหล่านั้นได้แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ใกล้เราแค่ไหนก็ตาม เพราะกิเลสตัณหานั้นบดบังสายตาของเรามิให้เห็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนภายใต้แสงพระอาทิตย์ มีแต่ผู้ที่ทรงฌานมีธุลีกิเลสน้อยในดวงตาเท่านั้นจึงสามารถเห็นท่านเหล่านั้นได้

                หากจะเข้าใกล้ท่านเหล่านั้นก็คงต้องอาศัยการบำเพ็ญสมณะธรรม จนบรรลุฌานสมาธิ จนสามารถจูนคลื่นความถี่จากจิตของเราให้เท่ากับท่านเหล่านั้น จึงสามารถเห็น สามารถติดต่อกับท่านเหล่านั้นได้อย่างสะดวก

                แต่หากยังไม่สามารถเข้าใกล้ ติดต่อท่านเหล่านั้นได้ก็คงต้องอาศัยวัตถุมงคลที่กำเนิดจากสายวิชาปะฐะมะสิทธิหรือวิชาสายยาแดง ติดตัวคู่กายไว้ ก็จะเสมือนเป็นองค์ท่านติดตามคุ้มครอง ดูแลไปตลอด หรือนำเอามากำภาวนาก็อาจสามารถสื่อถึงครูบาอาจารย์แห่งสายปะฐะมะสิทธิได้อย่างน่าอัศจรรย์


        มีข่าวมงคลสำหรับผู้สนใจสายปะฐะสิทธิ  กล่าวคือครูบาชัยมงคล  ชยฺธมฺโม  วัดไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่  พระเกจิอาจารย์ที่เคยเดินทางไปเรียนวิทยาคมสายพม่าที่เชียงตุงและจาริกไปเขาโปปา  เมืองพุกาม มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วได้จัดสร้าง

       ล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง สิทธามหาเวทย์ หนึ่งในผู้สำเร็จพ่อครูทั้งสิบ ที่ได้รับความเคารพอย่างยิ่งในเมืองม่าน  ด้านหลังฝังมวลสารผสมผงยาตำหรับ”ปะฐะมะสิทธิ” อันเรืองฤทธานุภาพ


            วัตถุมงคลรุ่นนี้มีสองพิมพ์คือ พ่อครูโพมินข่อง “นั่งช้างป่า มหาอำนาจ”  และพิมพ์ ”มีกินตลอดชาติ เขาโปปา” ครูบาชัยมงคลได้ประกอบพิธีอัญเชิญญาณพ่อครูทั้ง ๑๐ ประสิทธิ และยังได้นำไปอธิษฐานจิตมังคลาภิเษก ณ ลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ด้านทิศตะวันออก วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องที่บรมครูพู่พู่อ่องจัดสร้างถวายไว้ในพระพุทธศาสนา

          ยามอาราธนาให้ตั้งจิตเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง   คุณพระนางสุรัสวดี (สุรัสสะตี)  คุณพ่อครูทั้ง ๑๐ มีพ่อครูโพมินข่องเป็นที่สุด โปรดจงมาช่วยลูกคนนี้ด้วย ปรารถนาสิ่งใดบอกท่านไปเถิดสำเร็จสมปรารถนาทุกประการแล

หมายเหตุ      ผู้เขียน (ทิพยจักร) ได้ร่วมทดสอบของเชิญครูกับล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง ที่จัดสร้างโดยครูบาชัยมงคล  พร้อมทั้งมีการบันทึกเป็นวิดีโอเทปไว้  ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปชมทางยูทูปได้โดยเข้าไปในยูทูปแล้วพิมพ์ข้อความในช่องค้นหาว่า   ทดสอบของเชิญครูกับล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง
แล้วท่านก็จะสามารถชมการเชิญบารมีและญาณทิพย์ของพ่อครู สิทธามหาเวทย์ มาอธิษฐานจิตร่วมอนุโมทนาในการสร้างมงคลวัตถุและอาศัยหลักวิชาแห่งการขับเคลื่อนพลังงานแฝงเร้นแลการตรึงพลังงานให้อยู่ภายในมงคลวัตถุเพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งพลังงานกับผู้ที่นำไปบูชา ซึ่งปรากฏว่าผู้ที่ได้นำไปจะเห็นผลในด้านต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเรื่องเมตตา   การปกป้องคุ้มครอง   การขับไล่สิ่งอัปมงคล ถอนอาถรรพ์ต่างๆ ให้เห็นกันถนัดชัดเจน

     สำหรับท่านที่สนใจล๊อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง ติดต่อได้ที่ วัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ. แพร่  โทร 054-661063   และที่ สุริยันจันทรา โทร02-399-2000 / 083-073-7515
      หรือติดต่อทาง LINE  ID =  suriyanchantra
       บูชาองค์ละ 500 บาท พร้อมอัดกรอบพลาสติกเลี่ยมไมคอน


                อนึ่งท่านที่สนใจเวทย์วิทยาแห่งเมืองม่านสายปะธะมะสิทธิ  ติดตามอ่านได้ในนิตยสารพระเครื่องพุทธคุณ และอ่านบทความย้อนหลังได้ทางเว็บไซต์ที่ www.suriyanchantra.net